เรื่องมารดาของนางกาณา


พระราชาทรงตั้งนางกาณาในตำแหน่งเชษฐธิดา

เรื่องมารดาของนางกาณา

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต

พลตรี มารวย  ส่งทานินทร์

๒๑ กันยายน ๒๕๖๖

๗. กาณมาตาวัตถุเรื่องมารดาของนางกาณา             

(พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่ภิกษุทั้งหลาย ดังนี้)             

[๘๒] บัณฑิตทั้งหลายฟังธรรมแล้ว ย่อมผ่องใส (ผ่องใส ในที่นี้หมายถึงบรรลุสภาวะที่จิตปราศจากอุปธิกิเลสด้วยอำนาจโสดาปัตติมรรค เป็นต้น) ดุจห้วงน้ำที่ลึก ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว ฉะนั้น

----------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา

ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปัณฑิตวรรคที่ ๖

               ๗. เรื่องมารดาของนางกาณา [๖๖]               
                              

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภมารดาของนางกาณา ตรัสพระธรรมเทศนานี้.
               

               นางกาณาด่าภิกษุ               

               ก็ครั้งนั้น ในกาลเมื่อมารดาของนางกาณาทอดขนม เพื่อส่งธิดาให้เป็นผู้ไม่มีมือเปล่า ไปสู่ตระกูลผัวแล้ว ถวายแก่ภิกษุ ๔ รูปเสีย ถึง ๔ ครั้ง เมื่อพระศาสดาทรงบัญญัติสิกขาบทในเพราะเรื่องนั้น
               เมื่อสามีของนางกาณา นำภรรยาใหม่มาแล้ว นางกาณาได้ฟังเรื่องนั้น จึงด่า จึงบริภาษพวกภิกษุ ซึ่งตนได้เห็นแล้วและเห็นแล้วว่า "การครองเรือนของเรา อันภิกษุเหล่านี้ ให้ฉิบหายแล้ว."
               ภิกษุทั้งหลายไม่อาจเดินไปสู่ถนนนั้นได้.


               นางกาณาบรรลุโสดาปัตติผล               

               พระศาสดาทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว จึงได้เสด็จไปในที่นั้น.
               มารดาของนางกาณาถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นิมนต์ให้ประทับนั่งบนอาสนะที่ตนตกแต่งไว้ ได้ถวายข้าวยาคูและของควรเคี้ยวแล้ว.
               พระศาสดาเสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว ตรัสถามว่า "กาณาไปไหน?"
               กาณมารดา. พระเจ้าข้า นางเห็นพระองค์แล้ว เป็นผู้เก้อ ยืนร้องไห้อยู่.
               พระศาสดา. เพราะเหตุอะไรเล่า?
               กาณมารดา. นางด่าบริภาษพวกภิกษุ เพราะฉะนั้น นางเห็นพระองค์แล้ว จึงเป็นผู้เก้อ ยืนร้องไห้อยู่ พระเจ้าข้า.
               ลำดับนั้น พระศาสดาทรงมีรับสั่งให้เรียกนางกาณามาแล้ว ตรัสถามว่า "กาณา เจ้าเห็นเราแล้ว จึงเก้อเขิน แอบร้องไห้ทำไม?"
               ครั้งนั้น มารดาของนางกราบทูลกิริยาที่นางกระทำแล้ว (ให้ทรงทราบ).
               ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะมารดาของนางกาณาว่า "กาณมารดา ก็สาวกทั้งหลายของเรา ถือเอาสิ่งที่เธอให้แล้วหรือว่าที่ยังมิได้ให้เล่า?"
               กาณมารดา. ถือเอาสิ่งที่หม่อมฉันถวายแล้ว พระเจ้าข้า.
               พระศาสดา. ถ้าสาวกของเราเที่ยวบิณฑบาต ถึงประตูเรือนของเธอแล้ว ถือเอาสิ่งที่เธอให้แล้ว, จะมีโทษอะไรแก่สาวกเหล่านั้นเล่า?
               กาณมารดา. โทษของพระผู้เป็นเจ้าไม่มี พระเจ้าข้า, โทษของนางนี่เท่านั้น มีอยู่.
               พระศาสดาตรัสกะนางกาณาว่า "กาณา ได้ยินว่า สาวกของเราเที่ยวบิณฑบาต มาถึงประตูเรือนนี้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ มารดาของเจ้าได้ถวายขนมแก่สาวกเหล่านั้น ในเรื่องนี้ ชื่อว่าโทษอะไรจักมีแก่พวกสาวกทั้งหลายของเราเล่า?"
               นางกาณา. โทษของพระผู้เป็นเจ้า ไม่มี พระเจ้าข้า หม่อมฉันเท่านั้น มีโทษ.
               นางถวายบังคมพระศาสดา ให้ทรงอดโทษแล้ว.
               ครั้งนั้น พระศาสดาได้ตรัสอนุบุพพีกถาแก่นาง. นางบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว.


               พระราชาทรงตั้งนางกาณาในตำแหน่งเชษฐธิดา               

               พระศาสดาเสด็จลุกจากอาสนะแล้ว เมื่อจะเสด็จไปสู่วิหาร ได้เสด็จไปทางพระลานหลวง. พระราชาทอดพระเนตรเห็นแล้ว ตรัสถามว่า "พนาย นั่นดูเหมือนพระศาสดา"
               เมื่อราชบุรุษกราบทูลว่า "ถูกแล้ว พระเจ้าข้า" ดังนี้แล้ว จึงส่งไปด้วยพระดำรัสว่า "จงไป จงกราบทูลความที่เราจะมาถวายบังคม" แล้วได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ซึ่งประทับยืนอยู่ ณ พระลานหลวง ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว ทูลถามว่า "พระองค์จะเสด็จไปไหน? พระเจ้าข้า."
               พระศาสดา. มหาบพิตร อาตมภาพจะไปสู่เรือนมารดาของนางกาณา.
               พระราชา. เพราะเหตุอะไร? พระองค์จึงเสด็จไป พระเจ้าข้า.
               พระศาสดา. ได้ข่าวว่า นางกาณาด่าบริภาษภิกษุ, อาตมภาพไป เพราะเหตุนั้น.
               พระราชา. ก็พระองค์ทรงทำความที่นางไม่ด่าแล้วหรือ? พระเจ้าข้า.
               พระศาสดา. ถวายพระพร มหาบพิตร อาตมภาพทำนางมิให้เป็นผู้ด่าภิกษุแล้ว และให้เป็นเจ้าของทรัพย์อันเป็นโลกุตระแล้ว.
               พระราชา. "พระองค์ทรงทำให้นางเป็นเจ้าของทรัพย์ที่เป็นโลกุตระแล้วก็ช่างเถิด พระเจ้าข้า, ส่วนหม่อมฉันจักทำนางให้เป็นเจ้าของทรัพย์ที่เป็นโลกีย์" ดังนี้แล้ว ถวายบังคมพระศาสดา เสด็จกลับแล้ว ทรงส่งยานใหญ่ที่ปกปิดไป รับสั่งให้เรียกนางกาณามาแล้วประดับด้วยเครื่องอาภรณ์ทุกอย่าง ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งพระธิดาผู้ใหญ่แล้ว ตรัสว่า "ผู้ใดสามารถเลี้ยงดูธิดาของเราได้, ผู้นั้นจงรับเอานางไป."


               มหาอำมาตย์รับเลี้ยงนางกาณา               

               ครั้งนั้น มหาอำมาตย์ผู้สำเร็จราชกิจทุกอย่างคนหนึ่ง กราบทูลว่า "ข้าพระองค์จักเลี้ยงดูพระธิดาของฝ่าพระบาท" ดังนี้แล้ว นำนางไปยังเรือนของตน มอบความเป็นใหญ่ทุกอย่างให้แล้ว กล่าวว่า "เจ้าจงทำบุญตามชอบใจเถิด."
               จำเดิมแต่วันนั้นมา นางกาณาตั้งบุรุษไว้ที่ประตูทั้ง ๔ ก็ยังไม่ได้ภิกษุและภิกษุณีที่ตนพึงบำรุง. ของควรเคี้ยวและของควรบริโภคที่นางกาณาตระเตรียมตั้งไว้ที่ประตูเรือน ย่อมเป็นเหมือนห้วงน้ำใหญ่.
               พวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมว่า "ผู้มีอายุ ในกาลก่อนพระเถระ ๔ รูปทำความเดือดร้อนให้แก่นางกาณา นางแม้เป็นผู้เดือดร้อนอย่างนั้น อาศัยพระศาสดา ได้ความถึงพร้อมด้วยศรัทธาแล้ว พระศาสดาได้ทรงทำประตูเรือนของนาง ให้เป็นสถานที่ควรเข้าไปของพวกภิกษุอีก, บัดนี้ นางแม้แสวงหาภิกษุหรือภิกษุณีทั้งหลายที่ตนจะพึงบำรุง ก็ยังไม่ได้. โอ! ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีคุณน่าอัศจรรย์จริง."
               พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยกถาอะไรหนอ?" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า "ด้วยกถาชื่อนี้."
               จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุแก่เหล่านั้นทำความเดือดร้อนแก่นางกาณา มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น, แม้ในกาลก่อน พวกเธอก็ทำแล้วเหมือนกัน อนึ่ง เราได้ทำให้นางกาณาทำตามถ้อยคำของเรา มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น, ถึงในกาลก่อน เราก็ทำแล้วเหมือนกัน"
               อันพวกภิกษุผู้ใคร่จะฟังเนื้อความนั้น ทูลวิงวอนแล้ว
               จึงตรัสพัพพุชาดกนี้ โดยพิสดารว่า :-

          แมวตัวหนึ่งได้หนูและเนื้อในที่ใด, แมวตัวที่ ๒ ก็ย่อมเกิดในที่นั้น, ตัวที่ ๓ และตัวที่ ๔ ก็ย่อมเกิดในที่นั้น, แมวเหล่านั้นทำลายปล่องนี้ แล้ว(ถึงแก่ความตาย).

               แล้วทรงประชุมชาดกว่า "ภิกษุแก่ ๔ รูป (ในบัดนี้) ได้เป็นแมว ๔ ตัวในครั้งนั้น, หนูได้เป็นนางกาณา, นายช่างแก้ว คือเรานั่นเอง" ดังนี้แล้ว
               ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย แม้ในอดีตกาล นางกาณาได้เป็นผู้มีใจหม่นหมอง มีจิตขุ่นมัวอย่างนี้ (แต่) ได้เป็นผู้มีจิตผ่องใส เหมือนห้วงน้ำมีน้ำใส เพราะคำของเรา"
               เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-

          ยถา รหโท คมฺภีโร                 วิปฺปสนฺโน อนาวิโล

          เอวํ ธมฺมานิ สุตฺวาน               วิปฺปสีทนฺติ ปณฺฑิตา.

          บัณฑิตทั้งหลาย ฟังธรรมแล้ว ย่อมผ่องใส เหมือนห้วงน้ำลึก ใสแจ๋ว ไม่ขุ่นมัวฉะนั้น.

               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำอธิบายนี้ไว้ว่า "ห้วงน้ำนั้น ชื่อว่าใสแจ๋ว เพราะเป็นน้ำไม่อากูล ชื่อว่าไม่ขุ่นมัว เพราะเป็นน้ำไม่หวั่นไหว ฉันใด บัณฑิตทั้งหลายฟังเทศนาธรรมของเราแล้ว ถึงความเป็นผู้มีจิตปราศจากอุปกิเลส ด้วยสามารถแห่งมรรคมีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น ชื่อว่าย่อมผ่องใส ฉันนั้น ส่วนท่านผู้บรรลุพระอรหัตแล้วย่อมเป็นผู้ผ่องใสโดยส่วนเดียวแล."
               ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

 

               เรื่องมารดาของนางกาณา จบ.               
               -----------------------------------------------------  

 

หมายเลขบันทึก: 714536เขียนเมื่อ 21 กันยายน 2023 13:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 กันยายน 2023 13:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท