การบำเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๓๕ เอกราชจริยา
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
เกริ่นนำ
พระเจ้าทัพพเสนะเสด็จเข้าพระนครด้วยกองทัพใหญ่ ไม่ทรงเห็นข้าศึกต่อต้านแม้แต่คนเดียว เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ ยึดราชสมบัติทั้งหมดให้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ เสด็จขึ้นสู่พื้นใหญ่รับสั่งให้จับพระโพธิสัตว์ผู้ไม่มีความผิดฝังในหลุม.
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
๑๔. เอกราชจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระเจ้าเอกราช
[๑๑๔] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพระราชา ปรากฏนามว่าเอกราช ครั้งนั้น เราอธิษฐานศีลที่บริสุทธิ์ยิ่ง ปกครองแผ่นดินใหญ่
[๑๑๕] สมาทานกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ประพฤติโดยไม่มีเศษ สงเคราะห์มหาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ (สังคหวัตถุ ๔ ประการ คือ (๑) ทาน (๒) เปยยวัชชะ (๓) อัตถจริยา (๔) สมานัตตตา)
[๑๑๖] เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาทประโยชน์ในโลกนี้ และประโยชน์ในโลกหน้า ด้วยอาการอย่างนี้ พระเจ้าโกศลพระนามว่าทัพพเสน มาชิงเอานครของเราไป
[๑๑๗] ทรงทำข้าราชการ ชาวนิคม พร้อมด้วยทหาร ชาวชนบท ให้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์หมดแล้ว ตรัสสั่งให้ฝังเราเสียในหลุม
[๑๑๘] เราเห็นหมู่อำมาตย์ที่แย่งชิงราชสมบัติที่มั่งคั่งภายในนครเราไป เหมือนบุตรที่รัก บุคคลมีเมตตาเสมอเราไม่มี นี้เป็นเมตตาบารมีของเรา ฉะนี้แล
เอกราชจริยาที่ ๑๔ จบ
คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น
๑๔. เอกราชจริยา
อรรถกถาเอกราชจริยาที่ ๑๔
ในครั้งนั้น พระมหาสัตว์ทรงอุบัติเป็นโอรสพระเจ้ากรุงพาราณสี.
ครั้นทรงเจริญวัยถึงความสำเร็จศิลปะทุกแขนง.
ครั้นพระบิดาสวรรคต จึงครองราชสมบัติมีพระนามประกาศว่าเอกราช เพราะทรงบำเพ็ญบารมี ด้วยการประกอบคุณวิเศษอันไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่นมีศีลอาจาระ ศรัทธาและสุตะอันเป็นกุศลเป็นต้น และด้วยความเป็นหัวหน้าเพราะไม่มีใครเป็นที่สองในพื้นชมพูทวีป.
อธิษฐานศีลอันได้แก่กุศลกรรมบถ ๑๐ อันบริสุทธิ์สูงสุด กล่าวคือสำรวมทางกาย ทางวาจาบริสุทธิ์ด้วยดี และประพฤติชอบทางใจบริสุทธิ์ด้วยดี ด้วยการสมาทานและด้วยการไม่ก้าวล่วง.
ปกครองแผ่นดินใหญ่ คือครองราชสมบัติในแคว้นกาสีประมาณ ๓๐๐ โยชน์.
เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาทด้วยอาการนี้ตามที่กล่าวแล้ว คือการยังศีลคือกุศลกรรมบถ ๑๐ ให้บริบูรณ์ การสงเคราะห์มหาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔.
ได้ยินว่า ครั้งนั้นพระมหาสัตว์ทรงให้สร้างโรงทาน ๖ แห่งคือที่พระทวาร ๔ ด้านของพระนคร ท่ามกลางพระนคร ๑ ที่ประตูพระนิเวศน์ ๑ ทรงให้ทานแก่คนยากจนและคนเดินทางเป็นต้น ทรงรักษาศีล ทรงรักษาอุโบสถ ทรงถึงพร้อมด้วยขันติ เมตตาและความเอ็นดู ทรงยินดีสรรพสัตว์ดุจมารดาบิดายินดีบุตรที่นั่งบนตัก ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม.
อำมาตย์ของพระองค์คนหนึ่ง คิดขบถภายในพระนครปรากฏขึ้นในภายหลัง.
พวกอำมาตย์พากันกราบทูลแด่พระราชา.
พระราชาทรงคอยสังเกตทรงรู้ชัดด้วยพระองค์ จึงตรัสให้เรียกอำมาตย์นั้นมารับสั่งว่า อ้ายคนอันธพาล เจ้าทำกรรมไม่สมควร เจ้าไม่ควรอยู่ในแว่นแคว้นของเรา จงถือเอาทรัพย์และพาลูกเมียไปอยู่ที่อื่น แล้วทรงขับไล่ออกจากแว่นแคว้น.
อำมาตย์นั้นไปโกศลชนบท เข้ารับราชการกะพระเจ้าโกศลพระนามว่าทัพพเสนะ ได้ทำความคุ้นเคยกับพระราชานั้นโดยลำดับ.
วันหนึ่งทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์กรุงพาราณสีเช่นกับรังผึ้งไม่มีตัวผึ้ง พระราชาก็อ่อนแอ พระองค์สามารถยึดราชสมบัตินั้นได้โดยง่ายทีเดียว.
พระราชาทัพพเสนะไม่ทรงเชื่อคำของอำมาตย์นั้น เพราะพระเจ้ากรุงพาราณสีทรงอานุภาพมาก จึงทรงส่งพวกมนุษย์ให้ไปทำการปล้นมีการฆ่าชาวบ้านเป็นต้นในแคว้นกาสี ทรงสดับว่า พระโพธิสัตว์ทรงให้ทรัพย์แก่โจรเหล่านั้นแล้วทรงปล่อย.
ครั้นทรงทราบว่าพระราชาเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมอย่างยิ่ง ทรงดำริว่า เราจักยึดราชสมบัติในกรุงพาราณสี จึงยกกองทัพเสด็จออกไป.
ลำดับนั้น ทหารของพระเจ้ากรุงพาราณสีได้ข่าวว่า พระเจ้าโกศลยกกองทัพมา จึงกราบทูลแด่พระราชาของตนว่า พวกข้าพระพุทธเจ้าจะจับโบยพระราชานั้นตอนยังไม่ล่วงล้ำรัฐสีมาของเรา.
พระโพธิสัตว์ทรงห้ามว่า ท่านทั้งหลาย การทำคนอื่นให้ลำบากเพราะอาศัยเราไม่มี. ผู้ต้องการราชสมบัติจงยึดราชสมบัติเถิด พวกท่านอย่าไปเลย.
พระเจ้าโกศลเสด็จเข้าไปถึงท่ามกลางชนบท.
พวกทหารทูลแด่พระราชาเหมือนอย่างนั้นอีก. พระราชาทรงห้ามโดยนัยก่อน. พระเจ้าทัพพเสนะประทับยืนอยู่นอกพระนคร ทรงส่งสาส์นถึงพระเจ้าเอกราชว่า จะมอบราชสมบัติให้หรือจะรบ.
พระเจ้าเอกราชทรงส่งสาส์นตอบไปว่า เราไม่ต้องการรบ จงเอาราชสมบัติไปเถิด.
พวกทหารทูลอีกว่า ข้าแต่พระองค์ พวกข้าพระองค์จะไม่ให้พระเจ้าโกศลเข้าพระนครได้ จะช่วยกันโบยพระเจ้าโกศลนั้นนอกพระนครแล้วจับมาถวาย พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงห้ามเหมือนก่อน ทรงรับสั่งไม่ให้ปิดประตูพระนคร ประทับนั่งท่ามกลางบัลลังก์บนพื้นใหญ่.
พระเจ้าทัพพเสนะเสด็จเข้าพระนครด้วยกองทัพใหญ่ ไม่ทรงเห็นข้าศึกต่อต้านแม้แต่คนเดียว เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ ยึดราชสมบัติทั้งหมดให้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ เสด็จขึ้นสู่พื้นใหญ่รับสั่งให้จับพระโพธิสัตว์ผู้ไม่มีความผิดฝังในหลุม.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
พระเจ้าทัพพเสนะยกกองทัพมาชิงเอาพระนครเราได้ ทรงทำข้าราชการ ชาวนิคม พร้อมด้วยทหาร ชาวชนบท ให้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ทั้งหมดแล้ว ตรัสสั่งให้ฝังเราเสียในหลุม.
พระเจ้าทัพพเสนะรับสั่งให้ใส่สาแหรกแขวนเอาพระเศียรลงข้างล่างที่ธรณีประตูทางทิศเหนือ.
พระมหาสัตว์ทรงเจริญเมตตาปรารภพระราชาโจรแล้ว ทรงกระทำกสิณบริกรรมยังฌานและอภิญญาให้เกิด ทรงผุดขึ้นจากทรายประทับนั่งขัดสมาธิบนอากาศ.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
เราเห็นพระเจ้าทัพพเสนะกับหมู่อำมาตย์ชิงเอาราชสมบัติอันมั่งคั่งภายในพระนครของเราเหมือนบุตรสุดที่รัก.
เราเห็นพระราชาผู้เป็นศัตรูชิงเอาราชสมบัติอันมั่งคั่งด้วยนางกำนัล ทาสหญิง ทาสชายและบริวาร และด้วยของใช้มีผ้าและเครื่องประดับเป็นต้น ภายในพระนครของเราเหมือนบุตรสุดที่รักของตนด้วยเมตตาใด ผู้เสมอด้วยเมตตานั้นของเราไม่มีในสกลโลก เพราะฉะนั้น ที่เป็นอย่างนี้นี่เป็นเมตตาบารมีของเรา ถึงความเป็นปรมัตถบารมี.
ก็เมื่อพระมหาสัตว์ทรงแผ่เมตตาปรารภพระราชาโจรนั้น ประทับนั่งขัดสมาธิบนอากาศ พระเจ้าทัพพเสนะจึงเกิดความเร่าร้อนในพระวรกาย. พระองค์ทรงส่งเสียงร้องว่า เราถูกไฟไหม้ เราถูกไฟไหม้ ทรงกลิ้งเกลือกไปมาบนแผ่นดิน. ตรัสว่านี่อะไรกัน.
พวกราชบุรุษทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์รับสั่งให้ฝังพระราชาผู้ทรงธรรม ผู้ไม่มีความผิดไว้ในหลุม.
ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านรีบไปเอาพระราชานั้นขึ้นเถิด.
พวกราชบุรุษไปเห็นพระราชานั้นประทับนั่งขัดสมาธิบนอากาศ จึงกลับมาทูลแด่พระเจ้าทัพพเสนะ.
พระเจ้าทัพพเสนะรีบเสด็จไปถวายบังคมขอขมาแล้วตรัสว่า ขอพระองค์จงครองราชสมบัติของพระองค์เถิด ข้าพระองค์จักป้องกันพวกโจรแด่พระองค์ แล้วรับสั่งให้ลงอาญาแก่อำมาตย์ชั่ว เสด็จกลับพระนคร.
แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงมอบราชสมบัติให้แก่พวกอำมาตย์ แล้วทรงบวชเป็นฤๅษี ยังมหาชนให้ตั้งอยู่ในคุณมีศีลเป็นต้น ครั้นสิ้นอายุแล้วก็ไปสู่พรหมโลก.
พระเจ้าทัพพเสนะในครั้งนั้นได้เป็นพระอานนทเถระในครั้งนี้.
พระเจ้าเอกราชคือพระโลกนาถ.
พึงทราบทานบารมีด้วยการสละทรัพย์ ๖๐๐,๐๐๐ ณ โรงทาน ๖ แห่งทุกๆ วันของพระโพธิสัตว์นั้น และด้วยการทรงบริจาคราชสมบัติทั้งสิ้นแก่พระราชาข้าศึก.
ศีลบารมี ด้วยการรักษาศีลและอุโบสถเป็นนิจ และด้วยการสำรวมศีลไม่เหลือเศษของนักบวช.
เนกขัมมบารมี ด้วยการออกบวชและด้วยการบรรลุฌาน.
ปัญญาบารมี ด้วยการไตร่ตรองถึงประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ของสัตว์ทั้งหลาย และด้วยการจัดแจงทานและศีลเป็นต้น.
วิริยบารมี ด้วยการขมักเขม้นสะสมบุญมีทานเป็นต้น และด้วยการบรรเทากามวิตกเป็นต้น.
ขันติบารมี ด้วยการอดกลั้นความผิดของอำมาตย์โหดและของพระเจ้าทัพพเสนะ.
สัจจบารมี ด้วยการไม่ผิดพลาดด้วยการให้เป็นต้นตามปฏิญญา.
อธิษฐานบารมี ด้วยการอธิษฐานการสมาทานไม่หวั่นไหวต่อการให้เป็นต้น.
เมตตาบารมี ด้วยการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้แก่ข้าศึกโดยส่วนเดียว และด้วยการยังเมตตาฌานให้เกิด.
และอุเบกขาบารมี เพราะมีพระทัยเสมอในความผิดที่อำมาตย์โหดและพระเจ้าทัพพเสนะกระทำในอุปการะที่พวกแสวงหาประโยชน์มีอำมาตย์เป็นต้น ของพระองค์ให้เกิดขึ้น ทรงวางเฉยในคราวที่ถึงความสุขในราชสมบัติ ในคราวที่ถูกพระราชาข้าศึกฝังในหลุม.
สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เป็นจอมชน ท่านจงบรรเทาความสุขด้วยความทุกข์ หรือจงอดกลั้นความทุกข์ด้วยความสุข. สัตบุรุษทั้งหลายย่อมวางเฉย ในสุขและทุกข์ทั้งสองอย่างเพราะเกิดขึ้นแล้ว.
อนึ่ง ในจริยานี้พึงเจาะจงกล่าวถึงคุณวิเศษมีความเป็นผู้อนุเคราะห์เสมอกันเป็นต้นในสรรพสัตว์ของพระมหาสัตว์ ดุจบุตรเกิดในอกฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาเอกราชจริยาที่ ๑๔
-----------------------------------------------------
ไม่มีความเห็น