ข่าวรองผู้ว่าราชการ กทม. (ด้านการศึกษา) มีหนังสือถึงโรงเรียนในสังกัด เพื่อหาวันเวลาที่จะไม่ต้องสวมเครื่องแบบนักเรียนมาโรงเรียน อนุโลมให้ใช้เสื้อผ้าชุดลำลอง ที่เคยใส่อยู่กับบ้านมาเรียนได้ น่าจะมีผลมาจากปรากฏการณ์ นักเรียนหยก
ปรากฏการณ์ของนักเรียนหยก ผู้ปฏิเสธเครื่องแบบนักเรียนอย่างหนักแน่น เมื่อติดตามอ่านข่าวระยะหนึ่ง พอจับเค้าความคิดของเธอได้ว่า เธอปฏิเสธมันเพราะเข้าใจว่า มันคือโซ่ตรวนเชิงสัญลักษณ์เพื่อกดขี่ให้นักเรียนอยู่ภายใต้กฎ ระเบียบ ที่ครูและโรงเรียนวางไว้ เป็นการลิดรอนเสรีภาพและสิทธิส่วนบุคคล เธอย้ำเสริมด้วยว่า เครื่องแบบไม่ใช่เครื่องมือส่งเสริมการเรียนรู้ ไม่เกื้อหนุนสติปัญญาใด ๆ รวมถึงทรงผมที่เธอปรารถนาจะตัดผมตามสบาย ย้อม ดัด ซอย เซ็ท ได้อย่างอิสระ เธอมีคนหนุ่มสาว (นักกิจกรรมสิทธิมนุษยชน) สนับสนุนคำเรียกร้องของเธอเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ พอสมควร มีฐานเสียงจากพรรคการเมืองยุคใหม่ (..ที่เชื่อว่าเป็นแนวคิดยุคใหม่)
หวนคิดถึงคำบอกเล่า (อาจจะเคยเล่าแล้วในเรื่องลูกเสือ ที่เคยเขียนไว้ แต่ก็อยากเล่าอีก..(ฮา)
ครั้งหนึ่งเพื่อนของเรา เดินทางไปต่างประเทศ ขณะที่กำลังจะเข้าประเทศทางยุโรป (สมัยนั้นยังไม่มีโควิด) ผู้คนเดินทางกันมากจน การสัญจรที่ท่าอากาศยานหนาแน่น ผู้คนค่อนข้างจอแจ ทันใดนั้น ด้านหลัง ก็มี คนในเครื่องแบบ เดินมากลุ่มใหญ่ ผู้คนในบริเวณนั้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นชาวต่างประเทศและอีกส่วนก็เป็นคนพื้นเมือง ต่างแหวกเป็นช่อง กว้างขวางเพื่อหลีกทางให้แก่ คนในเครื่องแบบกลุ่มใหญ่นี้ ทันใดนั้น มีเด็กน้อยอายุราว ๙-๑๐ ขวบ ซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าเพื่อนของเรา เอ่ยถามพ่อแม่ของเขาขึ้นว่า “ทำไม เราต้องแหวกทางเป็นช่องให้ คนเหล่านั้นด้วย เขามาทีหลัง น่าจะรอให้พวกเราไปก่อน สิ จึงจะถูก”
พ่อของเขาตอบเด็กน้อยว่า “ลูกเห็นคนเหล่านั้นชัดเจนไหม “ ลูกก็ตอบว่า “ชัดเจน มากันหลายคนด้วย” “เขาแต่งเครื่องแบบ (Uniform) นั่นหมายถึงว่า เขากำลังไปทำหน้าที่บางอย่าง กับใครสักคนหนึ่ง” “พ่อรู้ได้อย่างไร” เด็กน้อยถาม “เพราะเครื่องแบบที่เขาสวมอย่างไรล่ะ ดังนั้น คนที่หลีกทางให้เขานั้น เพราะรู้ว่า เขาเหล่านั้น กำลังไปทำอะไรสักอย่างที่สำคัญตามเครื่องแบบที่เขาสวมอยู่”
เพื่อนไม่ได้เล่าต่อว่า เด็กน้อยผู้นั้นจะเข้าใจ คำสอนของพ่อหรือไม่ แต่ทำให้เรารู้สึกว่า คำสอนของชาวยุโรปผู้นั้น รู้จักสิ่งที่เราเรียกว่า สิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ และเสรีภาพ ชัดเจนมาก ถึงขนาดใช้ได้กับชีวิตจริง ๆ เลยเชียว หวนคิดถึงกรณีของนักเรียนหยก และกลุ่มหนุ่มสาวนักกิจกรรมเพื่อเสรีภาพมากมายที่ประกาศตัวในเมืองไทยวันนี้ ดูเหมือนความคิดของเขาเหล่านั้นต่อเครื่องแบบนักเรียน ไม่เหมือนกับเครื่องแบบในความคิดของพ่อและเด็กน้อยชาวยุโรป
เครื่องแบบ เป็นเครื่องนุ่งห่มธรรมดา ๆ ที่เหมือนๆ กัน ผู้คนสวมใส่เหมือนๆ กันเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ เพื่อให้เหมือนกัน รู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน แต่ที่มันพิเศษจริงๆ นั้น ไม่ได้อยู่ที่ตัวเสื้อผ้าใด ๆ แต่เพราะเบื้องหลังของมัน คือหน้าที่ บทบาทและความรับผิดชอบต่างหากที่ทำให้ เสื้อผ้าธรรมดาๆ ไม่ธรรมดา แต่ไม่ใช่โซ่ตรวนที่กักขัง บีบบังคับให้ผู้สวมใส่ต้องทำโน่น นี่ นั้น ตามคำข่มขู่ของผู้มีอำนาจ หรือ “กดทับ” เสรีภาพส่วนบุคคล สิทธิมนุษยชนเอาไว้ อย่างที่นักเรียนหยกสำคัญผิด และที่นักกิจกรรมสิทธิมนุษยชนประโคมโฆษณา
เสื้อผ้า หน้า ผม ทรวดทรง รูปลักษณ์การแต่งกายใด ๆ ของนักเรียน ก็ล้วนเกิดขึ้นเพราะมันมีส่วนช่วยเตือนให้ผู้สวมใส่ระลึกถึง บทบาท หน้าที่และตระหนักถึงความรับผิดชอบของนักเรียน (ซึ่งยังเป็นเยาวชน) หากผู้สวมใส่เป็นคนไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่นักเรียน สวมเครื่องแบบแล้วก็คงอึดอัด ทำหน้าที่ไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็น หนักเข้าเมื่อไม่อยากเป็น จึงกล่าวโทษต่อเครื่องแบบว่า เพราะมัน จึงทำให้ตนเองกลายเป็นคนเช่นนั้น เช่นนี้ เครื่องแบบจึงเป็นสิ่งเลวร้าย เพราะมันทำให้ฉันเป็นคนที่ทำในสิ่งที่ควรจะทำไม่ได้
น่าเสียดาย ที่รองผู้ว่าราชการ ฝ่ายการศึกษา ของ กทม. ก็เล่นกับเรื่องนี้ด้วย ความจริงมีโรงเรียนมากมายที่อนุญาตให้ใช้ชุดพละของโรงเรียนเป็นเครื่องแบบชุดที่สอง ซึ่งก็ประหยัดและเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นนักเรียนของโรงเรียนนี้ที่สมบูรณ์ชัดเจน ราคาก็ไม่แพง โรงเรียนของลูกก็ให้นักเรียนแต่งชุดพละ มาเรียนได้เหมือนกับชุดนักเรียนปกติ สวมชุดไหนมาก็ได้ กฏเกณฑ์นี้ใช้มานานเกือบ ๒๐ ปีแล้ว นักเรียนก็เรียนอย่างมีคุณภาพ ดีกว่าชุดลำลองที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครมากมาย
เครื่องแบบย่อมมีความแตกต่างกว่าชุดลำลอง อยู่แล้ว หากเราไม่เข้าใจมัน ก็ยิ่งน่าเสียดาย
ไม่มีความเห็น