การบำเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๒๙ สัจจสวหยปัณฑิตจริยา
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖
เกริ่นนำ
ในกาลเมื่อเราเป็นดาบสชื่อว่าสัจจะ เรารักษาสัตวโลก หมู่สัตว์ในชมพูทวีปนั้นๆ จากบาปและจากความพินาศหลายๆ อย่างด้วยความไม่พูดเท็จของตน. เราได้ทำให้มหาชนที่ทะเลาะกัน เถียงกัน วิวาทกันในที่นั้นๆ ให้สามัคคีกัน ไม่วิวาทกัน บันเทิงกันด้วยแสดงถึงโทษในการทะเลาะกัน แล้วกล่าวถึงอานิสงส์ในความสามัคคี.
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
๘. สัจจสวหยปัณฑิตจริยา
ว่าด้วยจริยาของดาบสผู้เป็นบัณฑิตชื่อว่าสัจจะ
[๗๑] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นดาบสนามว่าสัจจะ เรารักษาสัตว์โลกไว้ด้วยคำสัจ ได้ทำหมู่ชนให้สามัคคีกัน ฉะนี้แล
สัจจสวหยปัณฑิตจริยาที่ ๘ จบ
คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น
๘. สัจจสวหยปัณฑิตจริยา
อรรถกถาสัจจสวหยปัณฑิตจริยาที่ ๘
ในกาลเมื่อเราเป็นดาบสชื่อว่าสัจจะ เรารักษาสัตวโลก หมู่สัตว์ในชมพูทวีปนั้นๆ จากบาปและจากความพินาศหลายๆ อย่างด้วยความไม่พูดเท็จของตน.
เราได้ทำให้มหาชนที่ทะเลาะกัน เถียงกัน วิวาทกันในที่นั้นๆ ให้สามัคคีกัน ไม่วิวาทกัน บันเทิงกันด้วยแสดงถึงโทษในการทะเลาะกัน แล้วกล่าวถึงอานิสงส์ในความสามัคคี.
ได้ยินว่า ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลพราหมณ์มหาศาลตระกูลหนึ่งในกรุงพาราณสี ชื่อว่าสัจจะ.
พระโพธิสัตว์ครั้นเจริญวัยได้ไปยังเมืองตักกศิลา เรียนศิลปะในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ไม่ช้าก็สำเร็จศิลปะทุกอย่าง อาจารย์อนุญาต จึงกลับกรุงพาราณสี ไหว้มารดาบิดา มารดาบิดาชื่นชมยินดี เพื่อรักษาน้ำใจของมารดาบิดา จึงอยู่กับมารดาบิดาสิ้นวันเล็กน้อย.
ลำดับนั้น มารดาบิดาประสงค์จะหาภริยาที่สมควรให้ จึงมอบสมบัติทั้งหมดให้ แล้วเชื้อเชิญพระโพธิสัตว์นั้นให้อยู่ครองเรือน.
พระมหาสัตว์มีอัธยาศัยในการออกบวช ประสงค์จะเพิ่มพูนเนกขัมมบารมีของตน จึงกล่าวถึงโทษในการครองเรือนและอานิสงส์ในการบรรพชาโดยประการต่างๆ เมื่อมารดาบิดามีหน้าอาบด้วยน้ำตา ร้องไห้อยู่ ได้ละกองสมบัติอันหาประมาณมิได้ ยศอันสูงส่งและวงศ์ใหญ่หมู่ใหญ่ ตัดความผูกพันทางเรือน ดุจช้างใหญ่ทำลายเครื่องผูกเหล็กฉะนั้น ออกแล้วเข้าไปยังหิมวันตประเทศ บวชเป็นฤๅษี เลี้ยงชีวิตด้วยรากไม้และผลาผลในป่า ไม่ช้าก็ยังสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิด เพลิดเพลินกับฌานอยู่ด้วยวิหารสมาบัติ.
วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ตรวจดูโลกด้วยทิพยจักษุ ได้เห็นพวกมนุษย์โดยมากขวนขวายในอกุศลกรรมบถ ๑๐ มีปาณาติบาตเป็นต้น ทะเลาะกันและกันมีกามเป็นตัวเหตุ.
ครั้นเห็นแล้วจึงคิดอย่างนี้ว่า การที่เห็นสัตว์เหล่านี้ขวนขวายในบาปและทะเลาะกัน แล้ววางเฉยเสีย ไม่เป็นการสมควรแก่เรา เพราะเราปฏิบัติสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยหวังว่าจะขนสัตว์ทั้งหลาย ออกจากเปือกตมคือสงสาร แล้วให้ตั้งอยู่บนบกคือนิพพาน. เพราะฉะนั้น เพื่อไม่ให้ผิดปฏิญญานั้น ถ้ากระไรเราพึงไปยังที่อยู่ของมนุษย์ ยังสัตว์เหล่านั้นให้งดเว้นจากบาป และให้การวิวาทของมนุษย์เหล่านั้นสงบ.
พระมหาสัตว์ครั้นดำริอย่างนี้แล้ว อันมหากรุณาเร่งเร้าหนักขึ้นจึงละสุขอันเกิดแต่สมาบัติที่มีอยู่ไปในที่นั้นๆ ด้วยฤทธิ์ แสดงธรรมอันเหมาะแก่จิตของคนเหล่านั้น แสดงถึงโทษในการผิดพ้องหมองใจกัน ที่จะได้รับในปัจจุบันและในภพหน้า ยังสัตว์ทั้งหลายผู้ทะเลาะกัน เถียงกัน วิวาทกันให้สามัคคีกัน ประกอบประโยชน์ให้แก่กันและกัน. ชี้แจงถึงความหยาบช้ามีอาการต่างๆ และโทษในบาป ให้สัตว์ทั้งหลายเว้นจากนั้นแล้วยังบางพวกให้ตั้งอยู่ในกุสลกรรมบถ ๑๐ บางพวกให้บวชแล้วให้ตั้งอยู่ในศีลสังวร ในการคุ้มครองอินทรีย์ ในสติสัมปชัญญะ ในการอยู่ในที่สงัดและในฌานและอภิญญาตามสมควร.
จบอรรถกถาสัจจสวหยปัณฑิตจริยาที่ ๘
-------------------------------------------------
ไม่มีความเห็น