การบำเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๒๗ มูคปักขจริยา


ครั้นเราได้ฟังคำของเทวดานั้นแล้ว เหมือนได้พบฝั่งในสาคร ร่าเริง ตื้นตันใจ ได้อธิษฐานองค์ ๓ ประการคือ เราเป็นคนใบ้ เป็นคนหูหนวก เป็นคนง่อยเปลี้ย เว้นจากคติ เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้อยู่ ๑๖ ปี

การบำเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๒๗ มูคปักขจริยา

พลตรี มารวย  ส่งทานินทร์

๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖

เกริ่นนำ

            ในกาลที่เราเป็นพระโอรสของพระเจ้ากาสี ชนทั้งหลายเรียกเราโดยชื่อว่ามูคปักขกุมารบ้าง เตมิยกุมารบ้าง ครั้นเราได้ฟังคำของเทวดานั้นแล้ว เหมือนได้พบฝั่งในสาคร ร่าเริง ตื้นตันใจ ได้อธิษฐานองค์ ๓ ประการ คือ เราเป็นคนใบ้ เป็นคนหูหนวก เป็นคนง่อยเปลี้ย เว้นจากคติ เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้อยู่ ๑๖ ปี

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก

 

๖. มูคปักขจริยา

ว่าด้วยพระจริยาของพระมูคปักขกุมาร

 

             [๔๘]   อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพระโอรสของพระเจ้ากาสี ชนทั้งหลายเรียกเราโดยชื่อว่ามูคปักขกุมารบ้าง เตมิยกุมารบ้าง

             [๔๙]   ครั้งนั้น นางสนมกำนัล ๑๖,๐๐๐ นาง ไม่มีพระราชโอรส โดยวันคืนล่วงไปๆ เราเกิดขึ้นเพียงผู้เดียว

             [๕๐]   พระราชบิดารับสั่งให้กั้นเศวตฉัตร ให้เลี้ยงดูเราผู้เป็นบุตรสุดที่รักซึ่งได้โดยยาก เป็นอภิชาตบุตร ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง บนที่นอน

             [๕๑]   ครั้งนั้น เรานอนหลับอยู่บนที่นอนอันอ่อนนุ่ม ตื่นขึ้นแล้วได้เห็นเศวตฉัตร ซึ่งเป็นเหตุให้เราตกนรก

             [๕๒]   ความสะดุ้งหวาดกลัว เกิดขึ้นแล้วแก่เรา พร้อมกับได้เห็นเศวตฉัตร เราถึงความตัดสินใจว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจะเปลื้องราชสมบัตินี้ได้

             [๕๓]   เทวดาผู้เป็นสาโลหิตของเรามาก่อน ผู้ใคร่ประโยชน์ต่อเรา เห็นเราประสบทุกข์ จึงแนะนำเราให้ประกอบในเหตุ ๓ ประการว่า

             [๕๔]   ท่านจงอย่าแสดงความเป็นบัณฑิต จงแสดงความเป็นคนโง่แก่ชนทั้งปวง ชนทั้งหมดก็จะดูหมิ่นท่าน ประโยชน์จักสำเร็จแก่ท่านด้วยอาการอย่างนี้

             [๕๕]   เมื่อเทวดากล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวดังนี้ว่า เทวดา ข้าพเจ้าจะทำตามคำที่ท่านกล่าวกับเรา ท่านเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์ เป็นผู้ใคร่ความเกื้อกูลแก่เรา

             [๕๖]   ครั้นเราได้ฟังคำของเทวดานั้นแล้ว เหมือนได้พบฝั่งในสาคร ร่าเริง ตื้นตันใจ ได้อธิษฐานองค์ ๓ ประการ

             [๕๗]   คือ เราเป็นคนใบ้ เป็นคนหูหนวก เป็นคนง่อยเปลี้ย เว้นจากคติ เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้อยู่ ๑๖ ปี

             [๕๘]   ครั้งนั้น เสนาบดีเป็นต้นตรวจดูมือเท้าลิ้นและช่องหูของเราแล้ว เห็นความไม่บกพร่องของเราก็ติเตียนว่า เป็นคนกาลกิณี

             [๕๙]   แต่นั้น ชาวชนบท เสนาบดี และปุโรหิตทั้งปวง ร่วมใจกันทั้งหมด ดีใจการที่รับสั่งให้นำไปทิ้ง

             [๖๐]   เรานั้นได้ฟังความประสงค์ของเสนาบดีเป็นต้นนั้นแล้ว ร่าเริง ตื้นตันใจว่า เราประพฤติตบะมาเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นสำเร็จแล้วแก่เรา

             [๖๑]   ราชบุรุษทั้งหลายอาบน้ำให้เรา ไล้ทาด้วยของหอม สวมราชมงกุฎราชาภิเษกแล้ว ให้กั้นเศวตฉัตรทำประทักษิณนคร

             [๖๒]   ให้กั้นไว้ ๗ วัน พอดวงอาทิตย์อุทัย นายสารถีก็อุ้มเราขึ้นรถ เข้าไปยังป่า

             [๖๓]   นายสารถีหยุดรถไว้ ณ โอกาสหนึ่ง ปล่อยรถเทียมม้าพ้นมือก็ขุดหลุมเพื่อจะฝังเราเสียในแผ่นดิน

             [๖๔]   พระมหากษัตริย์ทรงคุกคามการอธิษฐาน ที่เราอธิษฐานไว้ด้วยเหตุต่างๆ แต่เราก็ไม่ทำลายการอธิษฐานนั้นเด็ดขาด เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น

             [๖๕]   พระมารดาและพระบิดาจะเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับเราก็หาไม่ ตนของเราจะเป็นที่น่ารังเกียจก็หาไม่ แต่เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้

             [๖๖]   เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้อยู่ ๑๖ ปี บุคคลมีอธิษฐานเสมอเราไม่มี นี้เป็นอธิษฐานบารมีของเรา ฉะนี้แล

มูคปักขจริยาที่ ๖ จบ

 

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น

๖. มูคผักขจริยา

               อรรถกถามูคผักขจริยาที่ ๖               

 

               ในกาลเมื่อเราเป็นโอรสของพระเจ้ากาสี. ในกาลนั้น ชื่อว่ามูคผักขะ. ชนทั้งหลายเรียกเราว่าเตมิยะ. ชนทั้งหลายทั้งปวงตั้งแต่พระมารดาพระบิดาเป็นต้นเรียกเราว่ามูคผักขะ เพราะอธิษฐานเป็นคนใบ้และเป็นคนง่อยเปลี้ย.
               อนึ่ง เพราะพระมหาสัตว์นั้นยังหทัยของพระราชาและของอำมาตย์เป็นต้นให้ชุ่ม อันเกิดด้วยปีติและสิเนหาอย่างยิ่ง ฉะนั้นจึงได้พระนามว่า เตมิยกุมาร.
               พระศาสดาทรงแสดงว่า โดยวันคืนล่วงไปๆ เราเกิดผู้เดียว คือโดยวันคืนน้อมล่วงไปไม่น้อยเพราะล่วงไปหลายปี เราผู้เดียวเท่านั้นที่ท้าวสักกะประทานให้แด่พระราชาพระองค์นั้นผู้ไม่มีโอรส เราเที่ยวแสวงหาโพธิญาณ ในกาลนั้นได้เกิดเป็นโอรสของพระราชา.
               ในจริยานั้นมีเรื่องราวเป็นลำดับดังต่อไปนี้.
               ในอดีตกาลครั้ง พระเจ้ากาสีครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี. พระองค์มีสนม ๑๖,๐๐๐ นาง. ในสนมเหล่านั้นไม่ได้บุตรหรือธิดาแม้แต่คนเดียว.
               ชาวพระนครเกิดเดือดร้อนว่า พระโอรสแม้องค์เดียวที่จะรักษาราชวงศ์ของพวกเราไม่มีเลย จึงประชุมกัน ทูลพระราชาว่า ขอพระองค์จงปรารถนาพระโอรสเถิดพระเจ้าข้า.
               พระราชาทรงรับสั่งกะสนม ๑๖,๐๐๐ นางว่า พวกเจ้าจงปรารถนาบุตรเถิด. พวกสนมเหล่านั้นทำการบวงสรวงพระจันทร์เป็นต้น แม้ปรารถนาก็ไม่ได้บุตร.
               ฝ่ายพระจันทาเทวี พระธิดาของพระเจ้ามัททราช อัครมเหสีของพระราชานั้น พระนางสมบูรณ์ด้วยศีล. พระราชาตรัสว่า แม้เธอก็จงปรารถนาโอรสเถิด. ในวันเพ็ญ พระนางรักษาอุโบสถระลึกถึงศีลของตนทรงตั้งสัจจกิริยาว่า หากเรามีศีลไม่ขาด ด้วยสัจจะของเรานี้ขอให้โอรสเกิดเถิด.
               ด้วยเดชแห่งศีลของนางนั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน.
               ท้าวสักกะทรงรำพึงก็ทรงทราบเหตุนั้น จึงดำริว่า เราจักอนุเคราะห์นางจันทาเทวีให้ได้โอรส ทรงใคร่ครวญถึงโอรสผู้สมควรแก่พระเทวีนั้น ทรงเห็นพระโพธิสัตว์ผู้ประสงค์จะอุบัติในดาวดึงสพิภพดำรงอยู่บนดาวดึงสพิภพนั้นตราบเท่าอายุแล้วจุติจากนั้น ไปบังเกิดในเทวโลกสูงขึ้นไป จึงเสด็จเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ตรัสว่า ดูก่อนสหาย เมื่อท่านเกิดในมนุษยโลก บารมีเหล่านั้นจักบริบูรณ์ ความเจริญจักมีแก่มหาชน พระนางจันทาอัครมเหสีของพระเจ้ากาสีทรงปรารถนาพระโอรส ขอให้ท่านจงไปอุบัติในพระครรภ์ของพระนางนั้นเถิด.
               พระโพธิสัตว์รับเทวดำรัส แล้วจึงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางจันทาเทวีนั้น.
               เทพบุตร ๕๐๐ สหายของพระโพธิสัตว์นั้นสิ้นอายุ จุติจากเทวโลก คือปฏิสนธิในครรภ์ของภริยาอำมาตย์ทั้งหลายของพระราชานั้น.
               พระเทวีทรงทราบว่าพระนางตั้งครรภ์แล้ว จึงกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ. พระราชารับสั่งให้ดูแลพระครรภ์. พระเทวีทรงครรภ์ครบกำหนด จึงประสูติพระราชบุตรสมบูรณ์ด้วยบุญลักษณะทุกประการ.
               ในวันนั้นเองในเรือนของพวกอำมาตย์ทั้งหลาย กุมาร ๕๐๐ ก็เกิด.
               พระราชาทรงสดับแม้ทั้งสองประการ ทรงดำริว่า กุมารเหล่านี้จงเป็นบริวารโอรสของเรา จึงทรงส่งแม่นม ๕๐๐ และส่งเครื่องประดับของกุมารให้แก่กุมาร ๕๐๐.
               อนึ่ง พระราชาทรงให้แม่นม ๖๔ คน ผู้มีน้ำนมอร่อย มีถันไม่หย่อนยาน เว้นจากโทษมีสูงเกินไปเป็นต้น แล้วทรงทำสักการะใหญ่แก่พระโพธิสัตว์.
               ได้ทรงประทานพรแม้แก่พระนางจันทาเทวี. พระนางจันทาเทวีทรงรับพรไว้แล้ว.
               พระกุมารทรงเจริญด้วยบริวารใหญ่.
               ลำดับนั้น พวกแม่นมตกแต่งพระกุมารซึ่งมีพระชนม์ได้ ๑ เดือน นำมาเฝ้าพระราชา. พระราชาทรงแลดูพระโอรสน่ารัก จึงทรงสวมกอด ให้พระกุมารประทับนั่งบนพระเพลา ประทับนั่งทรงรื่นรมย์กับพระโอรส.
               ในขณะนั้น โจร ๔ คนถูกนำมาให้ทรงพิพากษาโทษ.
               ในโจร ๔ คนนั้น คนหนึ่ง พระราชาทรงตัดสินให้เฆี่ยนด้วยหวายมีหนาม ๑,๐๐๐ ครั้ง. คนหนึ่ง ใส่ตรวนส่งเข้าเรือนจำ. คนหนึ่ง ให้เอาหอกทิ่มแทงบนร่างกาย. คนหนึ่ง เสียบด้วยหลาว.
               พระมหาสัตว์สดับคำพิพากษาของพระบิดาก็เกิดสลดใจ ทรงดำริว่า โอน่าเศร้า พระบิดาของเราอาศัยความเป็นพระราชา กระทำกรรมอันจะนำไปสู่นรก เป็นกรรมหนัก.
               รุ่งขึ้น พวกแม่นมให้พระมหาสัตว์บรรทมเหนือสิริไสยาสน์ที่ตกแต่งไว้ภายใต้เศวตฉัตร.
               พระมหาสัตว์บรรทมหลับไปได้หน่อยหนึ่ง ทรงลืมพระเนตรแลดูเศวตฉัตรทรงเห็นสิริสมบัติใหญ่โต. ทีนั้น พระมหาสัตว์แม้ตามปกติก็ทรงสลดพระทัยอยู่แล้ว ยิ่งเกิดความกลัวหนักขึ้น. พระมหาสัตว์ทรงรำพึงอยู่ว่า เรามาสู่พระราชวังนี้จากไหนหนอ ครั้นทรงทราบว่ามาจากเทวโลก ด้วยทรงระลึกชาติได้ จึงทรงตรวจดูเหนือไปจากนั้น ทรงเห็นว่า พระองค์เคยหมกไหม้อยู่ในอุสสทนรก. ทรงตรวจดูเหนือไปจากนั้นอีกทรงเห็นความที่พระองค์เป็นพระราชาอยู่ในนครนั่นเอง.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์บรรทมดำริว่า เราครองราชสมบัติอยู่ ๒๐ ปี หมกไหม้อยู่ในอุสสทนรก ๘๐,๐๐๐ ปี. บัดนี้ เราเกิดในเรือนโจรนี้เอง. แม้พระบิดาของเราเมื่อวานนี้ เมื่อเขานำโจรมา ๔ คน ก็ตรัสพระดำรัสรุนแรงถึงปานนั้น อันจะทำให้ตกนรก. เราไม่ต้องการราชสมบัติอันจะนำความพินาศอย่างใหญ่หลวง ซึ่งยังไม่ปรากฏนี้มา. เราจะพึงพ้นไปจากเรือนโจรนี้ได้อย่างไรหนอ.
               ลำดับนั้น เทพธิดาองค์หนึ่งได้ปลอบพระโพธิสัตว์นั้นว่า พ่อเตมิยกุมาร พ่ออย่ากลัว. ความปลอดภัยจักมีแก่ท่านเพราะอธิษฐานองค์ ๓.
               พระมหาสัตว์สดับดังนั้นมีพระประสงค์จะพ้นจากความพินาศ คือราชสมบัติ จึงทรงอธิษฐานองค์ ๓ ตลอด ๑๖ ปี ด้วยความอธิษฐานไม่หวั่นไหว.
               พระเจ้ากาสี พระบิดาของเราให้เรานอนบนที่สิริไสยาสน์ภายใต้เศวตฉัตร ตั้งแต่เราเกิดให้เลี้ยงดูเรากับด้วยบริวารใหญ่ โดยพระดำรัสว่า ธุลีหรือน้ำค้าง จงอย่าต้องกุมารนั้น. เรานอนอยู่บนที่นอนอันประเสริฐ ตื่นขึ้นแล้วมองดูได้เห็นเศวตฉัตรสีขาว. เกิดความสะดุ้งน่ากลัว เพราะเป็นโทษที่ปรากฏชัดเจนแล้ว. ตรึกตรองอย่างนี้ว่า เราจะปลดเปลื้องราชสมบัติอันเป็นกาลกรรณีได้อย่างไรหนอ.
               เทพธิดาผู้เป็นมารดาของเราในอัตภาพหนึ่ง สิงสถิตอยู่ในเศวตฉัตรนั้น เป็นผู้ใคร่ประโยชน์ แสวงหาประโยชน์แก่เรา. จึงแนะนำให้เราประกอบในเหตุที่จะออกจากทุกข์ในราชสมบัติ ๓ ประการ คือ เป็นใบ้ เป็นคนง่อยเปลี้ย เป็นคนหนวก.
               เมื่อพระมหาสัตว์ทรงตั้งอยู่ในนัยที่เทพธิดาให้ไว้ แล้วทรงแสดงพระองค์ด้วยความเป็นใบ้เป็นต้น ตั้งแต่ปีที่ประสูติ พระมารดาพระบิดาและพวกนางนมเป็นต้นคิดว่าธรรมดาปลายคางของคนใบ้ ช่องหูของคนหนวก มือเท้าของคนง่อยเปลี้ย มิได้เป็นอย่างนี้. ในเรื่องนี้พึงมีเหตุ. เราจักทดลองพระกุมารนี้ดู. คิดว่า เราจักทดลองด้วยน้ำนมก่อน จึงไม่ให้น้ำนมตลอดวัน. พระกุมารนั้นแม้ซูบซีดก็มิได้ร้องเพื่อต้องการน้ำนม.
               ลำดับนั้น พระมารดาของพระกุมาร ทรงดำริว่า ลูกของเราคงหิว. พวกเจ้าจงให้น้ำนมแก่ลูกเราเถิด แล้วให้พวกแม่นมให้น้ำนม. พวกแม่นมไม่ให้น้ำนมเป็นระยะๆ อย่างนี้ แม้ทดลองอยู่ปีหนึ่งก็ยังไม่เห็นช่องทาง.
               แต่นั้นพวกแม่นมคิดว่า ธรรมดาเด็กย่อมชอบขนมและของเคี้ยว. ชอบผลาผล. ชอบของเล่น. ชอบอาหาร จึงนำของปลอบใจเหล่านั้นๆ เข้าไปให้ ปลอบใจด้วยการทดลองก็ไม่เห็นช่องทางตลอด ๕ ปี.
               ลำดับนั้น พวกแม่นมคิดว่า ธรรมดาเด็กย่อมกลัวไฟ กลัวช้างตกมัน กลัวงู กลัวคนเงื้อดาบ. เราจักทดลองด้วยเหตุเหล่านั้น จึงตระเตรียมดังกล่าวโดยที่มิให้เกิดความเสียหายแก่พระกุมารด้วยอาการเหล่านั้นได้ แล้วให้เข้าไปแสดงโดยอาการอันน่ากลัวอย่างยิ่ง.
               พระมหาสัตว์ทรงรำพึงถึงภัยในนรก จึงไม่หวั่นไหวด้วยทรงเห็นว่า นรกน่ากลัวยิ่งกว่านี้ ร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า. พวกแม่นมทดลองอยู่แม้อย่างนี้ก็ไม่เห็นช่องทาง จึงคิดว่า ธรรมดาเด็กต้องการดูมหรสพ จึงให้สร้างโรงมหรสพ เอาม่านกั้นพระมหาสัตว์ แล้วให้ประโคมด้วยเสียงสังข์และเสียงกลองให้กึกก้องเป็นอันเดียวกันในทันที ณ ข้างทั้ง ๒ ของพระกุมารผู้ไม่รู้เรื่องเลย จุดตะเกียงส่องในที่มืด ให้แสงสว่าง เอาน้ำอ้อยทาทั่วตัวให้นอนในที่มีแมลงวันชุม ไม่ให้อาบน้ำเป็นต้น เข้าไปคอยดูกุมารนอนบนอุจจาระ ปัสสาวะ. เสียดสีด้วยการเยาะเย้ย และด่าว่า กุมารซึ่งนอนจมมูตรและกรีส. ทำกระเบื้องไฟไว้ใต้เตียง แล้วเผาให้ร้อนบ้าง.
               แม้ทดลองอยู่ด้วยอุบายหลายๆ อย่าง อย่างนี้ก็ไม่เห็นช่องทางของพระกุมารนั้น.
               พระมหาสัตว์ทรงรำพึงถึงภัยในนรกเท่านั้น ในที่ทั้งปวงไม่ทรงทำลายการตั้งใจ ไม่ไหวติง. พวกแม่นมทดลองอย่างนี้ถึง ๑๕ ปี ครั้นพระชนม์ได้ ๑๖ พระพรรษา พวกแม่นมคิดว่า คนง่อยเปลี้ยก็ตาม คนใบ้ คนหนวกก็ตาม จะไม่กำหนัดในสิ่งควรกำหนัด จะไม่อยากเห็นในสิ่งควรเห็น ย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น เราจะหานาฏศิลป์มาทดลองพระกุมาร จึงเอาน้ำหอมอาบพระกุมาร ประดับประดาดุจเทพบุตรเชิญขึ้นบนปราสาท อันมีแต่ความบันเทิงเบิกบานอย่างเดียว ด้วยดอกไม้ของหอมและพวงมาลัยเป็นต้นเหมือนเทพวิมาน จึงให้สตรีล้วนมีรูปร่างงดงาม พราวด้วยเสน่ห์ เปรียบด้วยเทพอัปสรคอยบำเรอว่า พวกเจ้าจงให้พระกุมารอภิรมย์ด้วยความเป็นของเที่ยงเป็นต้น. สตรีเหล่านั้นต่างก็พยายามเพื่อจะเข้าไปทำตามนั้น.
               พระกุมาร เพราะพระองค์สมบูรณ์ด้วยพระปัญญา จึงทรงกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะด้วยทรงหวังว่า สตรีเหล่านี้อย่าได้สัมผัสร่างกายของเราเลย. สตรีเหล่านั้น เมื่อไม่ได้สัมผัสร่างกายของพระกุมาร จึงคิดว่า พระกุมารนี้มีพระวรกายกระด้าง คงไม่ใช่มนุษย์แน่. คงจักเป็นยักษ์ จึงพากันกลับไป.
               พระมารดาพระบิดา ไม่ทรงสามารถที่จะยึดถือได้ด้วยการทดลองใหญ่ ๑๖ ครั้ง และด้วยการทดลองเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายครั้งตลอด ๑๖ ปีอย่างนี้ จึงทรงขอร้องต่างๆ กันและหลายครั้งว่า เตมิยกุมารลูกรัก พ่อและแม่รู้ว่าลูกไม่เป็นใบ้ เพราะปาก หูและเท้าอย่างนี้มิใช่ของคนใบ้ คนหนวกและคนง่อยเปลี้ยเลย. ลูกเป็นบุตรที่พ่อและแม่ปรารถนาจะได้มา ลูกอย่าให้พ่อแม่ต้องพินาศเสียเลย จงปลดเปลื้องข้อครหาจากราชสำนักในชมพูทวีปทั้งสิ้นเถิด.
               พระกุมารนั้น แม้พระมารดาพระบิดาทรงขอร้องอยู่อย่างนี้ ก็บรรทมทำเป็นไม่ได้ยิน.
               ลำดับนั้น พระราชารับสั่งให้บุรุษผู้ฉลาดตรวจดูพระบาททั้งสอง ช่องพระกรรณทั้งสอง พระชิวหาและพระหัตถ์ทั้งสองแล้ว ทรงสดับคำที่อำมาตย์กราบทูลว่า บัดนี้ ผู้ชำนาญการทายลักษณะ กล่าวว่า ผิว่า พระบาทเป็นต้นของพระกุมารนี้ เหมือนของคนไม่ง่อยเปลี้ยเป็นต้น พระกุมารนี้ก็จะไม่เป็นง่อยเปลี้ย ใบ้และหนวกจริง. เห็นจะเป็นกาลกรรณี. เมื่อคนกาลกรรณีเช่นนี้อยู่ในพระราชวัง จะปรากฏอันตราย ๓ อย่าง คืออันตรายของชีวิต ๑ อันตรายของเศวตฉัตร ๑ อันตรายของพระมเหสี ๑. แต่ในวันประสูติเพื่อมิให้พระองค์ทรงเสียพระทัย จึงกล่าวว่า กุมารนี้มีบุญลักษณะครบถ้วน ทรงกลัวภัยอันตราย จึงมีพระบัญชาว่า พวกท่านจงไปให้กุมารนั้นบรรทมในรถอวมงคล นำออกทางประตูหลังแล้วฝังเสียในป่าช้าผีดิบ.
               พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้น ทรงร่าเริงยินดีอย่างยิ่งว่า ความปรารถนาของเราเป็นเวลาช้านาน จักถึงความสำเร็จ.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้อยู่ ๑๖ ปี ครั้งนั้นเสนาบดีเป็นต้น ตรวจมือเท้าลิ้นและช่องหูของเรา แล้วเห็นความไม่บกพร่องของเรา ติเตียนว่า เราเป็นคนกาลกรรณี ทีนั้นชาวชนบท เสนาบดีและปุโรหิตทั้งปวง ร่วมใจกันทั้งหมด พลอยดีใจในการรับสั่งให้นำไปทิ้ง.
                เรานั้นได้ฟังความประสงค์ของเสนาบดีเป็นต้นนั้นแล้ว ร่าเริงดีใจ เราประพฤติตบะมาเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นจะสำเร็จแก่เรา.
               ชาวชนบททั้งปวง พวกราชบุรุษมีเสนาบดีและปุโรหิตเป็นหัวหน้ามาเพื่อเฝ้าพระราชา ร่วมใจกันทั้งหมด ไม่แสดงอาการสยิ้วหน้าที่พระราชารับสั่งให้นำเราไปทิ้งด้วยการฝังลงในแผ่นดิน เพื่อผ่านพ้นอันตราย ต่างพลอยดีใจด้วยมีสีหน้าเบิกบานว่า ดีแล้ว ควรทำทีเดียว.
               เมื่อพระราชามีพระบัญชาให้ฝังพระกุมารลงในแผ่นดินอย่างนี้แล้ว พระนางจันทาเทวีทรงสดับเรื่องราวนั้น จึงเข้าไปเฝ้าพระราชา ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ พระองค์ทรงประทานพรให้แก่หม่อมฉัน หม่อมฉันยังยึดถือพรนั้นไว้. บัดนี้ ขอพระองค์โปรดประทานพรนั้นแก่หม่อมฉันเถิด.
               พระราชาตรัสว่า จงรับพรเถิด.
               พระเทวีทูลว่า ขอพระองค์ทรงประทานราชสมบัติแก่โอรสของหม่อมฉันเถิด. ตรัสว่า โอรสของเจ้าเป็นกาลกรรณี. เราไม่อาจให้ได้ดอก. ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ เมื่อพระองค์ไม่ทรงให้ตลอดชีวิต ก็ขอโปรดให้ ๗ ปีเถิด. ตรัสว่า ก็ไม่อาจให้ได้อีก. ทูลว่า ขอได้โปรดให้ ๖ ปี ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ๗ เดือน ๖ เดือน ๕ เดือน ๔ เดือน ๓ เดือน ๒ เดือน ๑ เดือน ครึ่งเดือน ๗ วันเถิด. ตรัสว่า ดีแล้วจงรับได้.
               พระเทวีตกแต่งพระโอรส ทรงให้ตีกลองป่าวประกาศในพระนครว่า นี้เป็นราชสมบัติของเตมิยกุมาร แล้วให้พระโอรสขึ้นคอช้าง ยกเศวตฉัตรให้พระโอรส ซึ่งทำประทักษิณพระนครเสด็จกลับมา แล้วบรรทม ณ สิริไสยาสน์ที่ตกแต่งแล้ว ทรงขอร้องอยู่ตลอดคืนว่า พ่อเตมิยะ แม่นอนไม่หลับมา ๑๖ ปีแล้ว เพราะอาศัยลูกร้องจนนัยน์ตาแม่บวมแล้ว. หัวใจของแม่เพียงจะแตกด้วยความเศร้าโศก. แม่รู้ว่าลูกไม่ง่อยเปลี้ยเป็นต้น ลูกอย่าทำให้แม่หมดที่พึ่งเลย.
               พระเทวีขอร้องโดยทำนองนี้ล่วงไป ๖ วัน.
               ในวันที่ ๖ พระราชาตรัสเรียกสุนันทสารถีมา แล้วตรัสว่า พรุ่งนี้เจ้าจงนำพระกุมารโดยรถอวมงคลออกไปแต่เช้าตรู่ ฝังลงในแผ่นดินที่ป่าช้าผีดิบ กลบดินให้เรียบ แล้วจงกลับ.
               พระเทวีได้สดับดังนั้น ตรัสว่า ลูกเอ๋ย พระเจ้ากาสีมีพระบัญชาให้ฝังลูกที่ป่าช้าผีดิบในวันพรุ่งนี้. พรุ่งนี้ ลูกก็จักถึงความตาย.
               พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้น จึงร่าเริงยินดีอย่างยิ่งว่า ดูก่อนเตมิยะ เจ้าทำความเพียรมา ๑๖ ปีจะถึงที่สุดแล้ว. แต่พระหทัยของพระมารดา พระโพธิสัตว์ได้เป็นดุจมีอาการแตกสลายไป.
               เมื่อราตรีนั้นผ่านไป สารถีนำรถมาแต่เช้าตรู่ จอดไว้ที่ประตู เข้าไปยังห้องสิริ ทูลว่า ข้าแต่พระเทวี พระองค์อย่าทรงพิโรธหม่อมฉันเลย. หม่อมฉันทำตามพระราชบัญชา แล้วผลักพระเทวีด้วยหลังมือ ซึ่งบรรทมกอดพระโอรสออก แล้วอุ้มพระกุมารลงจากปราสาท.
               พระเทวีทรงทุบพระอุระ ทรงพระกันแสงร่ำไห้ด้วยพระสุรเสียงดัง ทรงล้มลงบนพื้นกว้าง.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงมองดูพระมารดา ทรงดำริว่า เมื่อเราไม่พูด พระมารดาจักเศร้าโศกสุดกำลัง แม้อยากจะพูดแต่ก็อดกลั้นไว้ด้วยพระดำริว่า หากเราจักพูด ความพยายามที่เราทำมาตลอด ๑๖ ปีก็จะเป็นโมฆะ. แต่เมื่อเราไม่พูด จักเป็นปัจจัยแก่ตัวเราและแก่พระมารดาพระบิดา.
               สารถีคิดว่า เราจักนำพระมหาสัตว์ขึ้นรถ แล้วจักแล่นรถไป มุ่งไปทางประตูทิศตะวันตก แต่กลับแล่นมุ่งไปทิศตะวันออก. รถออกจากพระนครด้วยอานุภาพของเทวดา แล่นไปยังที่ประมาณ ๓ โยชน์.
               พระมหาสัตว์ทรงยินดีเป็นที่ยิ่ง. แนวป่า ณ ที่นั้น ได้ปรากฏแก่สารถีดุจป่าช้าผีดิบ. สารถีคิดว่า ที่นี้ดีแล้ว จึงหยุดรถจอดไว้ข้างทางแล้วลงจากรถ เปลื้องเครื่องประดับของพระมหาสัตว์ออกห่อวางไว้ ถือเอาจอบ เริ่มขุดหลุมไม่ไกลนัก.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ราชบุรุษทั้งหลายอาบน้ำให้เรา ไล้ทาด้วยของหอม สวมราชมงกุฎราชาภิเษกแล้ว มีฉัตรที่บุคคลถือไว้ให้ทำประทักษิณพระนคร ดำรงเศวตฉัตรอยู่ ๗ วัน พอดวงอาทิตย์ขึ้น สารถีอุ้มเราขึ้นรถเข้าป่า สารถีหยุดรถไว้ ณ โอกาสหนึ่ง ปล่อยรถเทียมม้าพอพ้นมือ ก็ขุดหลุมเพื่อจะฝังเราเสีย ในแผ่นดิน.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงถึงประโยชน์ที่พระองค์อธิษฐาน ประพฤติสิ่งที่ทำได้ยากตลอด ๑๖ ปี ด้วยอธิษฐานเป็นใบ้เป็นต้น จึงตรัสสองคาถาว่า พระราชาทรงคุกคามการอธิษฐาน ที่เราอธิษฐานไว้ด้วยเหตุต่างๆ แต่เราไม่ทำลายการอธิษฐานนั้น เพราะเหตุแห่งโพธิญาณนั่นเอง เราจะเกลียดพระมารดาพระบิดาก็หามิได้ เราจะเกลียดตนเองก็หามิได้ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้นแหละ เราจึงอธิษฐานองค์ ๓.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อสุนันทสารถีกำลังขุดหลุม คิดว่านี้เป็นการพยายามของเรา จึงลุกขึ้นแล้วบีบพระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ ทรงทราบว่าเรามีกำลังอยู่ จึงทรงดำริจะเสด็จลงจากรถ.
               ทันใดนั้นเอง ที่วางพระบาทของพระมหาสัตว์ก็ผุดขึ้นดุจถุงหนังเต็มด้วยลมตั้งขึ้นจรดท้ายรถ. พระมหาสัตว์เสด็จลง ทรงดำเนินไปๆ มาๆ เล็กน้อย ทรงทราบว่า เรามีกำลังพอที่จะไปได้ แม้ตั้ง ๑๐๐ โยชน์ จึงทรงจับรถข้างท้ายแล้วยกขึ้นดุจยานน้อยสำหรับเด็กเล่น ทรงสังเกตว่า หากสารถีจะพึงทำร้ายเรา. เราก็มีกำลังพอที่จะป้องกันการทำร้ายได้ ทรงคิดที่จะตกแต่งพระองค์.
               ขณะนั้นเอง ภพของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะทรงทราบเหตุนั้น จึงมีเทวบัญชากะวิษณุกรรมว่า ท่านจงไปตกแต่งพระโอรสของพระเจ้ากาสี.
               วิษณุกรรมรับเทวบัญชาแล้ว จึงตกแต่งพระมหาสัตว์นั้นด้วยเครื่องอลังการอันเป็นของทิพย์และของมนุษย์ ดุจท้าวสักกะ.
               พระมหาสัตว์เสด็จไปยังสถานที่ที่สารถีกำลังขุดหลุม ด้วยเทพลีลาประทับยืนริมหลุมตรัสว่า ดูก่อนสารถี ท่านรีบร้อนขุดหลุมไปทำไม ดูก่อนสหาย เราถามท่าน ขอท่านจงบอกเราเถิดว่า ท่านจักทำอะไรแก่หลุม.
               สารถีมิได้เงยหน้าดู กล่าวว่า พระโอรสของพระราชา เป็นใบ้ ง่อยเปลี้ย ไม่มีความรู้สึก. พระราชามีพระบัญชาให้เราฝังพระโอรสนั้นในป่า.
               พระมหาสัตว์ ตรัสว่า ดูก่อนสารถี เราไม่หนวก ไม่ใบ้ ไม่ง่อยเปลี้ยและไม่วิกล หากท่านฝังเราในป่า ท่านพึงทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม.
                 ดูก่อนสารถี ท่านจงดู ขาและแขนของเรา และจงฟังเราพูด. หากท่านฝังเราในป่า ท่านพึงทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม.
               สารถีนั้นหยุดขุดหลุมแหงนดู เห็นรูปสมบัติของพระมหาสัตว์ ไม่รู้ว่าเป็นมนุษย์หรือเทวดา จึงถามว่า ท่านเป็นเทวดา เป็นคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะจอมเทพ. ท่านเป็นใคร เป็นลูกของใคร เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร.
               พระมหาสัตว์จึงทรงแสดงธรรม โดยนัยมีอาทิว่า เราไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกะ เราเป็นโอรสของพระเจ้ากาสี ที่ท่านจะฝังในหลุมนี้แหละ. ท่านอาศัยเราผู้เป็นโอรสของพระราชาพระองค์นั้น เป็นอยู่.
                ดูก่อนสารถี หากท่านฝังเราในป่า ท่านพึงทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม. บุคคลพึงนั่งหรือพึงนอนใต้ร่มไม้ใด ไม่พึงหักกิ่งไม้นั้น เพราะผู้ทำลายมิตร เป็นคนลามก. พระราชาเหมือนต้นไม้ เราเหมือนกิ่งไม้.
                 ดูก่อนสารถี ท่านเหมือนบุรุษที่เข้าไปอาศัยร่มเงา. หากท่านฝังเราในป่า ท่านพึงทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม.
               แล้วสารถีก็ทูลวิงวอนเพื่อขอให้พระโพธิสัตว์เสด็จกลับ จึงตรัสถึงเหตุที่ไม่กลับ และความพอใจในการบรรพชา ตลอดถึงเรื่องราวของพระองค์ในภพที่ล่วงไปแล้วมีภัยในนรกเป็นต้น เพราะเหตุแห่งความพอใจในการบรรพชานั้นโดยพิสดาร.
               แม้เมื่อสารถีนั้นประสงค์จะบวช เพราะธรรมกถานั้น และเพราะการปฏิบัตินั้น จึงตรัสคาถานี้ว่า 
ดูก่อนสารถี ท่านจงนำรถกลับไป แล้วเป็นคนไม่มีหนี้กลับมา เพราะบรรพชาเป็นของคนไม่มีหนี้. ข้อนี้ฤๅษีทั้งหลายสรรเสริญแล้ว.
               แล้วก็ทรงส่งสารถีกลับไปแจ้งแด่พระราชา.
               สารถีนำรถและเครื่องอาภรณ์ไปเฝ้าพระราชา ทูลความนั้นให้ทรงทราบ.
               ในทันใดนั้นเอง พระราชาทรงดำริว่า เราจักไปหาพระมหาสัตว์จึงเสด็จออกจากพระนคร พร้อมด้วยจตุรงคเสนา นางสนมและชาวพระนคร ชาวชนบท.
               แม้พระมหาสัตว์ ครั้นทรงส่งสารถีกลับไปแล้ว ก็มีพระประสงค์จะทรงผนวช. ท้าวสักกะทรงทราบจิตของพระโพธิสัตว์ จึงมีเทวบัญชากะวิษณุกรรมว่า เตมิยบัณฑิตประสงค์จะทรงผนวช ท่านจงเนรมิตอาศรมบทและเครื่องบริขารของบรรพชิตให้แก่พระมหาสัตว์นั้น.
               วิษณุกรรมจึงไปเนรมิตอาศรมในราวป่าประมาณ ๓ โยชน์ ทำให้สมบูรณ์ด้วยที่พักกลางคืน ที่พักกลางวัน ที่จงกรม สระโบกขรณี ผลไม้และต้นไม้ และเนรมิตเครื่องบริขารของบรรพชิตทั้งปวง เสร็จแล้วกลับที่อยู่ของตน.
               พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงทราบว่าท้าวสักกะประทานให้ จึงเสด็จเข้าสู่บรรณศาลา เปลื้องผ้าออก ถือเพศเป็นดาบส นั่งบนเครื่องลาดทำด้วยไม้ ยังสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิด ประทับนั่งในอาศรมด้วยความสุขในการบรรพชา.
               แม้พระเจ้ากาสีก็เสด็จไปตามทางที่สารถีได้ทูลไว้ แล้วเสด็จเข้าสู่อาศรม. พระมหาสัตว์ทรงร่วมกันปฏิสันถาร แล้วทรงเชื้อเชิญให้ครองราชสมบัติ. เตมิยบัณฑิตทรงปฏิเสธแล้วทูลให้พระราชาเกิดสังเวชด้วยธรรมิกถาปฏิสังยุต ด้วยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น และปฏิสังยุตด้วยโทษของกามอันเป็นของต่ำช้าด้วยอาการหลายอย่าง.
               พระราชาทรงสลดพระทัย ทรงเบื่อหน่ายในการครองเรือน มีพระประสงค์จะทรงผนวช จึงตรัสถามพวกอำมาตย์และสนมทั้งหลาย. แม้ทั้งหมดก็ประสงค์จะบวช.
               ลำดับนั้น พระราชาทรงทราบว่า นางสนมกำนัลใน ๑๖,๐๐๐ คน ตั้งแต่พระนางจันทาเทวีเป็นต้น และพวกอำมาตย์เป็นต้น ประสงค์จะบวช จึงรับสั่งให้ตีกลองป่าวประกาศในพระนครว่า ผู้ใดประสงค์จะบวชในสำนักพระโอรสของเรา ผู้นั้นก็จงบวชเถิด. ทรงให้เปิดห้องพระคลังทองเป็นต้นแล้วทรงบริจาค.
               อนึ่ง ชาวพระนครละทิ้งตลาดอันยาวเหยียดและปิดประตูเรือนไปเฝ้าพระราชา. พระราชาทรงผนวชในสำนักของพระมหาสัตว์ พร้อมด้วยมหาชน. อาศรมบทประมาณ ๓ โยชน์ที่ท้าวสักกะประทานเต็มพอดี.
               พระราชาสามนตราชทั้งหลายได้ทรงสดับว่า พระเจ้ากาสีทรงผนวช จึงดำริว่าจักยึดราชสมบัติในกรุงพาราณสี จึงเสด็จเข้าพระนคร ทรงเห็นพระนครเช่นกับเทพนครและพระราชนิเวศน์เช่นกับเทพวิมานเต็มไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ ทรงคิดว่าจะพึงมีภัยเพราะอาศัยทรัพย์นี้ เสด็จออกกลับไปในทันใดนั้นเอง.
               พระมหาสัตว์ทรงสดับการมาของพระราชาเหล่านั้น จึงเสด็จไปชายป่าประทับนั่ง ทรงแสดงธรรมอยู่บนอากาศ.
               พระราชาเหล่านั้นทั้งหมด พร้อมด้วยบริวารก็พากันบวชในสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น.
               ด้วยประการฉะนี้ ได้เป็นมหาสมาคมอื่นๆ อีกมากมาย.
               ฤๅษีทั้งหมดบริโภคผลาผล แล้วบำเพ็ญสมณธรรม. ผู้ใดวิตกถึงกามวิตกเป็นต้น พระโพธิสัตว์ทรงทราบจิตของผู้นั้น แล้วเสด็จไป ณ ที่นั้น ประทับนั่งแสดงธรรมบนอากาศ.
               พระราชานั้นทรงได้สัปปายะในการฟังธรรม จึงยังสมาบัติและอภิญญาให้เกิด. แม้ผู้อื่นๆ ก็เป็นอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ ทั้งหมดเมื่อสิ้นชีวิตก็ไปบังเกิดในพรหมโลก.
               แม้สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายที่มีใจเลื่อมใสในพระมหาสัตว์ แม้ในหมู่ฤๅษีก็ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นกามภูมิ ๖ ชั้น.
               พรหมจรรย์ของพระมหาสัตว์ยังเป็นไปอยู่ ตลอดกาลยาวนาน.
               เทพธิดาสิงสถิตอยู่ ณ เศวตฉัตรในครั้งนั้นได้เป็นนางอุบลวรรณาในครั้งนี้.
               สารถี คือพระสารีบุตรเถระ.
               พระมารดาพระบิดา คือตระกูลมหาราช.
               บริษัททั้งหลาย คือพุทธบริษัท.
               เตมิยบัณฑิต คือพระโลกนาถ.
               อธิษฐานบารมีของพระมหาสัตว์นั้นถึงที่สุดในจริยานี้.
               แม้บารมีที่เหลือพึงเจาะจงกล่าวตามสมควร.
               อนึ่ง พึงประกาศคุณานุภาพมีอาทิอย่างนี้ คือ
               ความกลัวนรกตั้งแต่ประสูติได้หนึ่งเดือน. ความกลัวบาป. ความรังเกียจราชสมบัติ. การอธิษฐานความเป็นใบ้เป็นต้นอันมีเนกขัมมะเป็นนิมิต และความไม่หวั่นไหวแม้ในการประชุมวิโรธิปัจจัย (ข้าศึก, ผู้ทำร้าย).

               จบอรรถกถามูคผักขจริยาที่ ๖               
               จบอธิษฐานบารมี               
               -----------------------------------------------------               

 

หมายเลขบันทึก: 713307เขียนเมื่อ 27 มิถุนายน 2023 15:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน 2023 15:54 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท