การบำเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๒๖ โสณนันทปัณฑิตจริยา


แม้ครั้งนั้น เราคือโสณบัณฑิต นันทบัณฑิต มารดาและบิดาทั้ง ๒ ของเรา ก็ละทิ้งโภคะทั้งหลายแล้วเข้าป่าใหญ่ ฉะนี้แล

การบำเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๒๖ โสณนันทปัณฑิตจริยา

พลตรี มารวย  ส่งทานินทร์

๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖

เกริ่นนำ

             แม้ครั้งนั้น เราคือโสณบัณฑิต นันทบัณฑิต มารดาและบิดาทั้ง ๒ ของเรา ก็ละทิ้งโภคะทั้งหลายแล้วเข้าป่าใหญ่ ฉะนี้แล

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก

 

๕. โสณนันทปัณฑิตจริยา

ว่าด้วยจริยาของโสณนันทบัณฑิต

 

             [๔๒]   อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเกิดในตระกูลมหาศาลซึ่งประเสริฐสุด อยู่ในกรุงพรหมวัทธนะ

             [๔๓]   ครั้งนั้น เราเห็นสัตว์โลกเป็นผู้บอดถูกความมืดครอบงำ จิตของเราเบื่อหน่ายจากภพ เหมือนช้างที่ถูกสับด้วยกำลังขอมีความสลดใจ

             [๔๔]   เราเห็นความชั่วต่างๆ จึงคิดอย่างนี้ ในกาลนั้นว่า เมื่อไร เราจึงจะออกไปจากเรือนแล้วเข้าป่าใหญ่ได้

             [๔๕]   แม้ครั้งนั้น พวกญาติก็เชื้อเชิญเราด้วยกามโภคะทั้งหลาย เราได้บอกความพอใจแม้แก่เขาเหล่านั้นว่า อย่าเชื้อเชิญเราด้วยสิ่งเหล่านั้นเลย

             [๔๖]   น้องชายของเราเป็นบัณฑิตชื่อว่านันทะ แม้เขาก็คล้อยตามเรา ชอบใจการบรรพชา

             [๔๗]   แม้ครั้งนั้น เราคือโสณบัณฑิต นันทบัณฑิต มารดาและบิดาทั้ง ๒ ของเรา ก็ละทิ้งโภคะทั้งหลายแล้วเข้าป่าใหญ่ ฉะนี้แล

โสณนันทบัณฑิตจริยาที่ ๕ จบ

 

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น

๕. โสณนันทปัณฑิตจริยา

               อรรถกถาโสณนันทปัณฑิตจริยาที่ ๕               

 

               ในกาลนั้น เราได้เกิดในกรุงพาราณสีอันได้ชื่อว่าพรหมวัทธนะ ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล เพราะมีสมบัติถึง ๘๐ โกฏิ เป็นผู้เลิศโดยความเป็นผู้สูงด้วยเป็นอภิชาตบุตร เป็นผู้ประเสริฐโดยความเป็นผู้มีวิชา.
               ได้ยินว่า ในกาลนั้น พระมหาสัตว์จุติจากพรหมโลกบังเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์มหาศาลคนหนึ่งมีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ในพรหมวัทธนนคร.
               ในวันตั้งชื่อกุมารนั้น มารดาบิดาตั้งชื่อว่าโสณกุมาร.
               ครั้นโสณกุมารนั้นเดินได้ สัตว์อื่นจุติจากพรหมโลกได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของมารดาพระโพธิสัตว์ชื่อว่านันทกุมาร.
               มารดาบิดาเห็นรูปสมบัติของบุตรทั้งสองผู้เจริญวัยเรียนพระเวท สำเร็จศิลปะทุกอย่าง ยินดีร่าเริงคิดว่า จักผูกพันให้อยู่ครองเรือน ได้กล่าวกะโสณกุมารก่อนว่า ลูกรัก พ่อแม่จักนำทาริกาจากตระกูลที่สมควรมาให้ลูก. ลูกจงปกครองสมบัติเถิด.
               พระมหาสัตว์กล่าวว่า ลูกไม่ต้องการอยู่ครองเรือน ลูกจะปฏิบัติพ่อแม่ตลอดชีวิต เมื่อพ่อแม่ล่วงลับแล้วลูกจักบวช.
               เพราะในกาลนั้น ภพแม้ทั้งสามได้ปรากฏแก่พระมหาสัตว์ดุจเรือนถูกไฟไหม้ และดุจอยู่ในหลุมถ่านเพลิง.
               อนึ่งโดยความพิเศษอย่างยิ่ง พระมหาสัตว์มีอัธยาศัยในเนกขัมมะ ได้น้อมใจไปในการบวช.
               มารดาบิดาไม่ทราบความประสงค์ของพระมหาสัตว์ แม้กล่าวอยู่บ่อยๆ ก็มิได้ทำใจของพระโพธิสัตว์นั้นให้เห็นดีงามได้ จึงเรียกนันทกุมารมากล่าวว่า ลูกรัก ถ้าเช่นนั้น ลูกจงปกครองทรัพย์สมบัติเถิด.
               แม้นันทกุมารก็กล่าวว่า ลูกไม่เอาศีรษะรับน้ำลายที่พี่ชายของลูกถ่มทิ้งไว้ แม้ลูกก็จะบวชกับพี่ชาย เมื่อพ่อแม่ล่วงลับไป.
               มารดาบิดาจึงคิดว่า คนหนุ่มๆ เหล่านี้ยังจะละกามทั้งหลายอย่างนี้ได้ ก็เราทำไมจะละไม่ได้เล่า ด้วยเหตุนั้น เราทั้งหมดจักบวช. จึงกล่าวว่า ลูกรักประโยชน์อะไรของพวกลูกที่จะบวชต่อเมื่อพ่อแม่ล่วงลับไป พ่อแม่จักบวชพร้อมกับลูกด้วย แล้วให้สิ่งที่ควรให้แก่พวกญาติ ทำทาสให้เป็นไททูลแด่พระราชา สละทรัพย์ทั้งหมดบริจาคมหาทาน.
               ชนทั้ง ๔ ออกจากพรหมวัทธนนครอาศัยสระใหญ่ดารดาษด้วยบัวหลวงบัวขาวในหิมวันตประเทศสร้างอาศรมในราวป่าน่ารื่นรมย์ พากันบวชอยู่ ณ ที่นั้น.
               คือมิใช่ในขณะที่เราเป็นอโยฆรบัณฑิตอย่างเดียวเท่านั้น. ที่จริงแล้ว แม้ในขณะที่เราเป็นโสณกุมารนั้น ญาติทั้งหลายมีมารดาบิดาเป็นต้นผู้บริโภคกาม ผู้มีอัธยาศัยในกาม เชื้อเชิญเราด้วยโภคะอันมากมายว่า ลูกเอ๋ย ลูกจงมาปกครองทรัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏินี้เถิด จงดำรงวงศ์ตระกูลเถิด.
               เราพิจารณาถึงโทษในกามทั้งหลายมีหลายประการโดยนัยมีอาทิว่า ชื่อว่ากามทั้งหลายเหล่านี้มีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก แล้วศึกษาศีลเป็นต้น ชอบใจการบวช.
               แม้นันทบัณฑิตนั้นก็ศึกษาตามเรา ด้วยการออกบวชของเขาอย่างนั้น ย่อมชอบใจการบวช.
               เราทั้ง ๒ คนไม่คำนึงถึงมหาโภคะสมบัติ ๘๐ โกฏิ สละได้ดุจก้อนน้ำลาย เข้าป่าใหญ่ในหิมวันตประเทศ ด้วยอัธยาศัยมุ่งต่อบรรพชา.
               ก็ครั้นเข้าไปแล้วได้สร้างอาศรมอยู่ ณ ภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์นั้นบวชเป็นดาบสอยู่ ณ ที่นั้น. พี่น้องสองคนบำรุงมารดาบิดา.
               นันทบัณฑิตคิดว่า เราจักให้มารดาบิดาบริโภคผลาผลที่เรานำมาเท่านั้น จึงนำผลาผลที่เหลือเมื่อวานนี้และในที่ที่ตนหาอาหารในวันก่อนๆ มาแต่เช้าตรู่ให้มารดาบิดาบริโภค.
               มารดาบิดาบริโภคผลาผลเหล่านั้นแล้วบ้วนปากรักษาอุโบสถ.
               ส่วนโสณบัณฑิตไปไกลหน่อยนำผลไม้ที่สุกดีแล้ว มีรสเอร็ดอร่อยน้อมเข้าไปให้มารดาบิดา.
               ลำดับนั้น มารดาบิดากล่าวกะโสณบัณฑิตว่า ลูกเอ๋ย เราบริโภคผลาผลที่น้องนำมาแล้วจึงรักษาอุโบสถ บัดนี้เราไม่ต้องการแล้ว.
               ผลาผลของโสณบัณฑิตนั้น ไม่ได้บริโภคจึงเสีย แม้ในวันรุ่งขึ้นก็อย่างนั้นเหมือนกัน ด้วยประการอย่างนี้ โสณบัณฑิตจึงไปไกลนำมาเพราะได้อภิญญา ๕. แต่มารดาบิดาก็ยังไม่บริโภค.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ดำริว่า มารดาบิดาเป็นคนแบบบาง. ก็นันทะนำผลาผลดิบบ้าง สุกไม่ดีบ้าง มาให้มารดาบิดาบริโภค. เมื่อเป็นเช่นนั้น มารดาบิดาจักอยู่ได้ไม่นาน เราจักห้ามนันทะนั้น. จึงเรียกนันทะมากล่าวว่า ดูก่อนนันทะ ตั้งแต่นี้ไปน้องจะนำผลาผลมา จงรอให้พี่กลับก่อน เราจักให้มารดาบิดาบริโภคร่วมกัน.
               แม้เมื่อโสณบัณฑิตกล่าวอย่างนี้แล้ว นันทบัณฑิตหวังได้บุญจึงไม่ทำตาม. พระมหาสัตว์ปรบมือไล่นันทบัณฑิตผู้มาบำรุงมารดาบิดากล่าวว่า น้องไม่ทำตามคำของบัณฑิต พี่เป็นพี่. มารดาบิดาเป็นภาระของพี่เอง พี่จักบำรุงมารดาบิดาเอง น้องจงไปจากที่นี้ไปอยู่เสียที่อื่น.
               นันทบัณฑิตถูกพี่ชายไล่ไม่อาจอยู่ในที่นั้นได้ จึงไหว้พระโพธิสัตว์ แล้วบอกเรื่องราวแก่มารดาบิดาเข้าไปยังบรรณศาลาของตน เพ่งกสิณในวันนั้นเอง ยังสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิด แล้วคิดว่า
               เราจักนำทรายรัตนะมาจากเชิงเขาสิเนรุ เกลี่ยบริเวณบรรณศาลาของพี่ชายของเราแล้วขอขมา หรือว่านำน้ำมาจากสระอโนดาตแล้วจึงขอขมา. หรืออีกอย่างหนึ่ง พี่ชายของเราพึงยกโทษให้ด้วยอำนาจแห่งเทวดา เราจักนำมหาราช ๔ และท้าวสักกเทวราชมาแล้วจึงขอขมา อย่างนี้ก็ไม่งาม.
               พระราชาเมืองพรหมวัทธนะพระนามว่ามโนชะ นี้เป็นพระอัครราชาทั่วชมพูทวีป เราจักนำพระราชาทั้งหมด ตั้งต้นแต่พระเจ้ามโนชะนั้นมาแล้วขอขมา เมื่อเป็นอย่างนี้ คุณของพี่ชายของเราจักครอบงำไปทั่วชมพูทวีป และจักปรากฏดุจดวงจันทร์และดวงอาทิตย์.
               ทันใดนั้นเอง นันทบัณฑิตได้ไปด้วยฤทธิ์ ลงที่ประตูพระราชนิเวศน์ของพระราชานั้นในพรหมวัทธนนคร ให้คนไปทูลแด่พระราชาว่า มีดาบสองค์หนึ่งประสงค์จะเฝ้าพระองค์.
               ครั้นพระราชทานโอกาสให้เข้าเฝ้าได้ จึงเข้าไปเฝ้าทูลว่า อาตมภาพจะยึดราชสมบัติทั่วชมพูทวีป ด้วยกำลังของตนนำมาถวายพระองค์.
               พระราชาตรัสถามว่า พระคุณท่านจะยึดราชสมบัติทั่วชมพูทวีปมาให้ได้อย่างไร. ทูลว่า มหาราช อาตมภาพจะไม่ฆ่าใครๆ จะยึดด้วยฤทธิ์ของตนเท่านั้นแล้วนำมาถวาย แล้วพาพระราชาพร้อมด้วยเสนาหมู่ใหญ่ไปถึงแคว้นโกศล พักค่ายไว้ไม่ไกลพระนคร ส่งทูตไปทูลแด่พระเจ้าโกศลว่า จะรบหรือจะยอมอยู่ในอำนาจ.
               เมื่อการรบกับพระเจ้าโกศลซึ่งทรงพิโรธเตรียมการรบเสด็จออกมาเริ่มขึ้นแล้ว ด้วยฤทธานุภาพของตน นันทบัณฑิตได้ทำโดยที่นักรบทั้งสองฝ่ายมิได้ทำร้ายกัน. แล้วตระเตรียมด้วยการนำคำโต้ตอบกันโดยที่พระเจ้าโกศล ทรงยอมอยู่ในอำนาจของพระราชานั้น.
               โดยอุบายนี้ นันทบัณฑิตยังพระราชาทั่วชมพูทวีปให้ตกอยู่ในอำนาจของพระราชานั้นหมดสิ้น.
               พระราชานั้นทรงยินดีกับนันทบัณฑิต ตรัสกะนันทบัณฑิตว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระคุณท่านได้ทำเหมือนอย่างที่ปฏิญญาไว้แล้ว. พระคุณท่านเป็นผู้มีอุปการะมากแก่ข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าจักทำอะไรตอบแทนพระคุณท่านได้เล่า. ข้าพเจ้าปรารถนาจะให้ราชสมบัติกึ่งหนึ่งในชมพูทวีปทั้งสิ้นแก่พระคุณท่าน. การกำหนดช้าง ม้า รถ แก้วมณี แก้วมุกดา แก้วประพาฬ เงินทอง ทาสหญิงทาสชายและบริวารชนจะทำอย่างไร.
               นันทบัณฑิตได้ฟังดังนั้นทูลว่า มหาราช อาตมภาพไม่ต้องการราชสมบัติ แม้พาหนะช้างเป็นต้นก็ไม่ต้องการ. ก็แต่ว่ามารดาบิดาของอาตมาบวชอยู่ในอาศรมโน้นในแคว้นของพระองค์. อาตมภาพบำรุงมารดาบิดาเหล่านั้น ถูกโสณบัณฑิตพี่ชายของอาตมาผู้แสวงหาคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ไล่ในเพราะความผิดอย่างหนึ่ง. อาตมภาพจักพาพระองค์ไปหาพี่ชายขอขมา. ขอพระองค์จงทรงเป็นเพื่อนในการให้พี่ชายของอาตมายกโทษให้เถิด.
               พระราชาทรงรับแวดล้อมด้วยนักรบมีประมาณ ๒๔ อักโขภินีกับพระราชาร้อยเอ็ด นันทบัณฑิตนำหน้า.
               ครั้นถึงอาศรมบทนั้นจึงปล่อยระยะไว้สี่อังคุละ นำน้ำมาจากสระอโนดาดด้วยเครื่องหาบซึ่งตั้งอยู่บนอากาศ เตรียมน้ำดื่ม กวาดบริเวณ แล้วเข้าไปหาพระมหาสัตว์ผู้อิ่มด้วยความยินดีในฌานนั่งอยู่ใกล้มารดาบิดา แล้วขอขมา.
               พระมหาสัตว์ให้นันทบัณฑิตดูแลมารดา ตนเองบำรุงบิดาจนตลอดชีวิต.
               พระมหาสัตว์แสดงธรรมแด่พระราชาเหล่านั้นด้วยพุทธลีลาว่า 
               ความยินดีความบันเทิงอันผู้รู้พึงได้ เพราะบำรุงบำเรอมารดาให้ท่านหัวเราะแจ่มใสอยู่ทุกเมื่อ.
               ความยินดีความบันเทิงอันผู้รู้พึงได้ เพราะบำรุงบำเรอบิดาให้ท่านหัวเราะแจ่มใสอยู่ทุกเมื่อ.
               การสงเคราะห์เหล่านี้แลในโลกตามสมควรในธรรมนั้นๆ คือ การให้ การเจรจาถ้อยคำอ่อนหวาน การประพฤติเป็นประโยชน์ การวางตนเสมอต้นเสมอปลาย ดุจลิ่มรถที่แล่นไปฉะนั้น.
               การสงเคราะห์เหล่านี้ไม่พึงมี มารดาย่อมไม่ได้การนับถือหรือการบูชา เพราะเหตุแห่งบุตร. หรือบิดาย่อมไม่ได้การนับถือหรือการบูชา เพราะเหตุแห่งบุตร.
               เพราะบัณฑิตทั้งหลาย เพ่งเล็งโดยชอบถึงการสงเคราะห์เหล่านี้ ฉะนั้นจึงถึงความเป็นผู้ยิ่งใหญ่และได้ความสรรเสริญ.
               มารดาบิดาท่านกล่าวว่าเป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์และเป็นผู้ควรบูชาของบุตรทั้งหลาย เป็นผู้อนุเคราะห์สัตว์.
               เพราะฉะนั้นแล บัณฑิตพึงนอบน้อม พึงสักการะมารดาบิดาเหล่านั้น ด้วยข้าว ด้วยน้ำ ด้วยผ้า ด้วยที่นอน ด้วยเครื่องนุ่งห่ม ด้วยน้ำอาบ และด้วยการล้างเท้า.
               บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นในโลกนี้ ด้วยการบำรุงบำเรอในมารดาบิดาทั้งหลาย. บุคคลนั้นละจากโลกนี้ไปแล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์
               พระราชาทั้งหมดเหล่านั้นครั้นได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็ทรงเลื่อมใสพร้อมกับกองพล.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ยังพระราชาเหล่านั้นให้ตั้งอยู่ในศีล ๕ แล้วให้โอวาทว่า ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทในทานเป็นต้นเถิด. แล้วก็ปล่อยไป.
               พระราชาเหล่านั้นทั้งหมดทรงครองราชสมบัติโดยธรรม ครั้นสวรรคตก็ไปบังเกิดในสวรรค์.
               พระโพธิสัตว์ให้นันทบัณฑิตดูแลมารดา ด้วยกล่าวว่า ตั้งแต่นี้น้องจงบำรุงมารดาตนเองบำรุงบิดาจนตลอดชีวิต. ทั้งสองพี่น้องเมื่อถึงแก่กรรมก็ไปเกิดบนพรหมโลก.
               มารดาบิดาในครั้งนั้นได้เป็นตระกูลมหาราชในครั้งนี้.
               นันทบัณฑิต คือพระอานนทเถระ.
               พระราชา คือพระสารีบุตรเถระ.
               พระราชาร้อยเอ็ด คือพระอสีติมหาเถระและพระเถระรูปอื่นๆ.
               บริษัท ๒๔ อักโขภินี คือพุทธบริษัท.
               โสณบัณฑิต คือพระโลกนาถ.
               อนึ่ง พึงประกาศคุณานุภาพของพระมหาสัตว์มีอาทิอย่างนี้ คือ
               ความเป็นผู้ไม่คำนึงในกามทั้งหลายโดยสิ้นเชิง.
               ความเป็นผู้มีความเคารพยำเกรงอย่างแรงกล้าในมารดาบิดาทั้งหลาย.
               ความไม่อิ่มด้วยการบำรุงมารดาบิดา แม้เมื่อมีการบำรุงมารดาบิดาเหล่านั้นอยู่ ก็ยังกาลเวลาทั้งหมดให้น้อมไปด้วยสมาบัติวิหารธรรมด้วยประการฉะนี้.

               จบอรรถกถาโสณนันทปัณฑิตจริยาที่ ๕               
               
               -----------------------------------------------------    

 

หมายเลขบันทึก: 713280เขียนเมื่อ 26 มิถุนายน 2023 06:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 มิถุนายน 2023 06:24 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท