การบำเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๑ สโมธานกถา


ดูก่อนสารีบุตร ธรรมอันทำให้เป็นพระพุทธเจ้ามี ๑๐ ประการแล. ธรรม ๑๐ ประการคืออะไรบ้าง? ดูก่อนสารีบุตร ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา เป็นธรรมทำให้เป็นพระพุทธเจ้า.

การบำเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๑ สโมธานกถา

พลตรี มารวย  ส่งทานินทร์

๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖

เกริ่นนำ

            พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร ธรรมอันทำให้เป็นพระพุทธเจ้ามี ๑๐ ประการแล. ธรรม ๑๐ ประการคืออะไรบ้าง? ดูก่อนสารีบุตร ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา เป็นธรรมทำให้เป็นพระพุทธเจ้า.

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก

 

สโมธานกถา

สรุปการบำเพ็ญบารมี ๓๐

 

                พระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ได้ตรัสไว้ดังนี้ว่า

                “การบำเพ็ญบารมีอันเป็นธรรมเครื่องบ่มพระโพธิญาณเหล่านี้ จัดเป็นบารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ และปรมัตถบารมี ๑๐ คือ การบำเพ็ญทานในภพที่เป็นพระเจ้าสิวิราชผู้ประเสริฐเป็นทานบารมี ๑ ในภพที่เราเป็นเวสสันดรและเวลามพราหมณ์เป็นทานอุปบารมี ๒ ในภพที่เราเป็นอกิตติดาบสอดอาหารนั้น เป็นทานอุปบารมี ในภพที่เราเป็นพญาไก่ป่า สีลวนาคและพญากระต่าย เป็นทานปรมัตถบารมี ๓

                ในภพที่เราเป็นพญาวานร ช้างฉัททันต์และช้างเลี้ยงมารดา เป็นศีลบารมี” ๔ การรักษาศีลในภพที่เราเป็นจัมเปยยนาคราช และภูริทัตตนาคราชเป็นศีลอุปบารมี ๕ ในภพที่เราเป็นสังขปาลบัณฑิตเป็นศีลปรมัตถบารมี ๖

                ในภพที่เราเป็นยุธัญชัยกุมาร มหาโควินทพราหมณ์ คนเลี้ยงช้าง อโยฆรราชโอรส ภัลลาติ สุวรรณสาม มฆเทพ และเนมิราช บารมีเหล่านี้เป็นอุปบารมี ในภพที่เราเป็นมโหสถ ผู้เป็นทรัพย์ของรัฐ กุณฑล ตัณฑิละ และนกกระทา บารมีเหล่านี้เป็นปัญญาอุปบารมี ๗ ในภพที่เราเป็นวิธูรบัณฑิตและสุริยพราหมณ์ มาตังคพราหมณ์ผู้เป็นศิษย์เก่าของอาจารย์ บารมีทั้ง ๒ นี้ เป็นปัญญาบารมี ๘ ในภพที่เราเป็นพระราชาผู้มีศีล มีความเพียรเป็นผู้ก่อเกิดสัตตุภัสตชาดก บารมีนี้แลเป็นปัญญาปรมัตถบารมี ๙

                ในภพที่เราเป็นพระราชา ผู้มีความบากบั่น เป็นวิริยปรมัตถบารมี ๑๐

                ในภพที่เราเป็นธรรมปาลกุมารเป็นขันติบารมี ๑๒ ในภพที่เราเป็นธรรมิกเทพบุตร ทำสงครามกับอธรรมิกเทพบุตร เรียกว่าขันติอุปบารมี ๑๓ ในภพที่เราเป็นขันติวาทีดาบสแสวงหาพุทธภูมิ ด้วยการบำเพ็ญขันติบารมี ได้ทำกรรมที่ทำได้ยากเป็นอันมาก นี้เป็นขันติปรมัตถบารมี ๑๔

                 ในภพที่เราเป็นสสบัณฑิต นกคุ่ม ซึ่งประกาศคุณสัจจะ ทำไฟให้ดับด้วยสัจจะ นี้เป็นสัจจบารมี ๑๕ ในภพที่เราเป็นปลาอยู่ในน้ำ ได้ทำสัจจะอย่างสูง ทำฝนให้ตกห่าใหญ่ นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ในภพที่เราเป็นสุปารบัณฑิตผู้เป็นนักปราชญ์ ยังเรือให้ข้ามสมุทรจนถึงฝั่งด้วยสัจจะ เป็นกัณหทีปายนดาบส ระงับพิษได้ด้วยสัจจะ และเป็นวานรข้ามกระแสแม่น้ำคงคาได้ด้วยสัจจะ นี้เป็นบารมีของพระศาสดา บารมีนั้นเป็นอุปปารมี ๑๖ ในภพที่เป็นสุตโสมราชา รักษาสัจจะอย่างสูง ช่วยปล่อยกษัตริย์ ๑๐๑ นี้เป็นสัจจปรมัตถบารมี ๑๗

                 อะไรที่จะเป็นความพอใจไปกว่าอธิษฐาน นี้เป็นอธิษฐานบารมี ๑๘ ในภพที่เราเป็นมาตังคชฎิลและช้างมาตังคะ นี้เป็นอธิษฐานอุปบารมี ๑๙ ในภพที่เราเป็นมูคปักขกุมารเป็นอธิษฐานปรมัตถบารมี ๒๐

                  ในภพที่เราเป็นมหากัณหฤๅษีและพระเจ้าโสธนะ และบารมี ๒ อย่างคือ ในภพที่เราเป็นพระเจ้าพรหมทัตต์และคัณฑิติณฑกะ ที่กล่าวมาแล้วเป็นเมตตาบารมี ๒๑ ในภพที่เราเป็นโสณนันทบัณฑิตผู้ทำความรัก บารมีเหล่านั้นเป็นเมตตาอุปบารมี ๒๒ ในภพที่เราเป็นพระเจ้าเอกราช เป็นบารมีไม่มีของผู้อื่นเหมือน นี้เป็นเมตตาปรมัตถบารมี ๒๓

                  ในภพที่เราเป็นนกแขกเต้า ๒ ครั้ง เป็นอุเบกขาบารมี ๒๔ ในภพที่เราเป็นโลมหังสบัณฑิต เป็นอุเบกขาปรมัตถบารมี ๒๖ 

                  บารมีของเรา ๑๐ ประการนี้ เป็นส่วนแห่งพระโพธิญาณอันเลิศ บารมีที่เกินกว่า ๑๐ ไม่มี และบารมีที่หย่อนกว่า ๑๐ ก็ไม่มี เราบำเพ็ญบารมีทุกอย่าง ไม่ยิ่งไม่หย่อน เป็นบารมี ๑๐ ประการฉะนี้แล

สโมธานกถา จบ

-----------------------

 

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก

สโมธานกถา

      อรรถกถาอุททานคาถา  

             

               พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ตรัสว่า.
               ดูก่อนสารีบุตร ในครั้งนั้น เราเป็นพระโพธิสัตว์ ชื่อว่าแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เพราะแสวงหาโพธิสมภารมีทานบารมีเป็นต้นใหญ่โดยวิธีนี้ได้ประพฤติปฏิบัติมาแล้ว เหมือนอย่างที่แสดงแก่เธอในบัดนี้แหละ.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงถึงประโยชน์ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมี ทรงกระทำทุกรกิริยาของพระองค์ทั้งที่กล่าวแล้ว และยังไม่ได้กล่าวในที่นี้ อันเป็นไปตลอดกาลนาน ด้วยการบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์รวมเป็นอันเดียวกัน โดยสังเขปเท่านั้น จึงตรัสคาถานี้ว่า : เราได้เสวยทุกข์และสมบัติมากมายหลายอย่าง ในภพน้อยภพใหญ่ ตามนัยที่กล่าวแล้วนี้ แล้วจึงได้บรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด.
               เมื่อครั้งเป็นอกิตติบัณฑิตเป็นต้น และด้วยการอดอาหารเป็นต้น เพราะให้ใบหมากเม่านั้นแก่ยาจก. อนึ่ง เมื่อครั้งเป็นพระเจ้ากุรุเป็นต้น สมบัติมีหลายอย่างเช่นกับสมบัติของท้าวสักกะ.
               ภพน้อยภพใหญ่ หรือเสวยความเจริญและความเสื่อม ในภพน้อยภพใหญ่ ไม่เดือดร้อนด้วยทุกข์หลายอย่าง ไม่ถูกฉุดคร่าด้วยสมบัติหลายอย่าง เป็นผู้ขวนขวายในการบำเพ็ญบารมี ปฏิบัติข้อปฏิบัติอันสมควรแก่บารมีนั้น บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอย่างสูงสุด คือพระสัพพัญญุตญาณ.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงถึงความที่บารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาสิ้นกาลนาน เพื่อให้บริบูรณ์ให้เต็มเปี่ยมโดยไม่มีเหลือ และความที่ผลที่ควรบรรลุ พระองค์ได้บรรลุแล้ว จึงตรัสคาถามีอาทิว่า : เราได้ให้ทานอันควรให้ บำเพ็ญศีลโดยหาเศษมิได้ ถึงเนกขัมมบารมีแล้วจึงบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด. เราสอบถามบัณฑิตทั้งหลาย ทำความเพียรอยู่อย่างอุกฤษฏ์ อย่างถึงขันติบารมีแล้ว จึงบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด. เราทำอธิษฐานอย่างมั่น ตามรักษาสัจวาจา ถึงเมตตาบารมีแล้ว จึงบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด. เราเป็นผู้มีจิตเสมอในลาภและเสื่อมลาภ ในยศและเสื่อมยศ ในความนับถือและการดูหมิ่นทั้งปวง แล้วจึงบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด.
               ในกาลนั้น เราได้สละไทยธรรมมีราชสมบัติเป็นต้นในภายนอก อวัยวะและตาเป็นต้นในภายใน ที่พระโพธิสัตว์ผู้ปฏิบัติปฏิปทาอันเป็นยานเลิศ เพื่อบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จากนั้นได้บริจาคทานมีประเภทเป็นทานบารมี ทานอุปบารมีและทานปรมัตถบารมี มีการบริจาคใหญ่ ๕ อย่างเป็นที่สุด คือบริจาคราชสมบัติ ๑ บริจาคอวัยวะ ๑ บริจาคนัยน์ตา ๑ บริจาคบุตรภรรยา ๑ บริจาคตน ๑ โดยไม่มีเหลือ.
               ไม่มีปริมาณของอัตภาพที่พระมหาบุรุษบำเพ็ญทานบารมี ในกาลที่แล้วมา ในจริยานี้มีอาทิอย่างนี้ คือในกาลเป็นอกิตติพราหมณ์ ในกาลเป็นสังขพราหมณ์ แม้ในกาลที่มิได้มามีอาทิอย่างนี้ คือในกาลเป็นวิสัยหเศรษฐี ในกาลเป็นเวลามพราหมณ์.
               ทานบารมีของพระโพธิสัตว์ ครั้งเป็นสสบัณฑิต สละตนอย่างนี้ว่า : เราเห็นยาจกเข้าไปขออาหาร จึงสละตน ของตน ผู้เสมอด้วยทานของเราไม่มี นี้คือทานบารมีของเรา.
               ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.
               ส่วนในบารมีนอกนั้น พึงทราบบารมีและอุปบารมีตามสมควร.
               อันผู้บำเพ็ญศีลของพระโพธิสัตว์ มีอาทิอย่างนี้ คือสำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมทั้งกายวาจา สำรวมอินทรีย์ รู้จักประมาณในการบริโภค มีอาชีพบริสุทธิ์ ควรบำเพ็ญบารมี อันมีประเภทเป็นศีลบารมี ศีลอุปบารมี ศีลปรมัตถบารมี ยังศีลทั้งปวงให้บริบูรณ์ คือให้ถึงพร้อมด้วยชอบ โดยไม่มีส่วนเหลือ.
               แม้ในที่นี้ก็ไม่มีปริมาณของอัตภาพที่พระมหาสัตว์บำเพ็ญศีลบารมี ในกาลที่มาแล้วในจริยานี้มีอาทิอย่างนี้ คือในกาลเป็นศีลวนาคราช ในกาลเป็นจัมเปยยนาคราช และในกาลที่มิได้มามีอาทิอย่างนี้ว่า ในกาลเป็นมหาวานร ในกาลเป็นช้างฉัททันตะ.
               ศีลบารมีของพระโพธิสัตว์ ครั้งเป็นสังขปาละ สละตนอย่างนี้ว่า : เราไม่โกรธเคืองพวกบุตรพราน แม้จะแทงด้วยหลาว แม้จะทิ่มด้วยหอก นี้เป็นศีลบารมีของเรา
               ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.
               ส่วนในบารมีนอกนี้ พึงทราบบารมีและอุปบารมีตามสมควร.
               บารมีในการออกบวชครั้งใหญ่ ๓ อย่างอุกฤษฏ์อย่างยิ่ง. ในบทนั้นไม่มีปริมาณของอัตภาพที่พระมหาสัตว์สละราชสมบัติยิ่งใหญ่ แล้วบำเพ็ญเนกขัมมบารมี ในกาลที่มาแล้วในจริยานี้อย่างนี้ คือ ในกาลเป็นยุธัญชยบัณฑิต ในกาลเป็นโสมนัสกุมาร และที่มิได้มาคือในกาลมีอาทิอย่างนี้ ในกาลเป็นหัตถิปาลกุมาร ในกาลเป็นมฆเทวะ.
               อนึ่ง เนกขัมมบารมีของพระมหาสัตว์นั้นผู้สละราชสมบัติออกบวช เพราะไม่เกี่ยวข้องอย่างนี้ว่า : เราสละราชสมบัติอันใหญ่หลวงที่อยู่ในเงื้อมมือ ดุจถ่มก้อนน้ำลาย เมื่อเราสละก็ไม่เกี่ยวข้อง นี้เป็นเนกขัมมบารมีของเรา.
               ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.
               ส่วนในบารมีนอกนี้ พึงทราบบารมีและอุปบารมีตามสมควร.
               เราสอบถามถึงการจำแนกธรรมมีกุศลเป็นต้นด้วยนัยมีอาทิว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ การจำแนกกรรมและผลของกรรม กรรมศิลปะวิชาอันไม่มีโทษ อันนำมาซึ่งอุปการะแก่สัตว์ทั้งหลาย กะบัณฑิตผู้มีปัญญา. ด้วยบทนี้ ท่านแสดงถึงปัญญาบารมี.
               ในบทนั้นไม่มีปริมาณของอัตภาพที่พระมหาสัตว์บำเพ็ญปัญญาบารมี ในกาลมีอาทิอย่างนี้ คือในกาลเป็นวิธูรบัณฑิต ในกาลเป็นมหาโควินทบัณฑิต ในกาลเป็นกุททาลบัณฑิต ในกาลเป็นอรกบัณฑิต ในกาลเป็นโพธิปริพาชก ในกาลเป็นมโหสถบัณฑิต.
               อนึ่ง ปัญญาบารมีของพระโพธิสัตว์นั้นผู้แสดงถึงงูที่อยู่ภายในกระสอบว่า : เราค้นหาด้วยปัญญา ปลดเปลื้องพราหมณ์จากทุกข์. ผู้เสมอด้วยปัญญาของเราไม่มี นี้เป็นปัญญาบารมีของเรา.
               ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.
               วีริยบารมีหลายอย่างให้เกิด คือปธานะ วีริยะอันสูงสุดเพราะสามารถให้ถึงสัมมาสัมโพธิญาณได้.
               ในบทนั้นไม่มีปริมาณของอัตภาพที่พระมหาสัตว์บำเพ็ญวีริยบารมี ในกาลมีอาทิอย่างนี้ คือในกาลเป็นมหาศีลวราช ในกาลเป็นปัญจาวุธกุมาร ในกาลเป็นพระยามหาวานร.
               อนึ่ง วีริยบารมีของพระโพธิสัตว์นั้นครั้งเป็นพระมหาชนกข้ามมหาสมุทร อย่างนี้ว่า : เราอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร มองไม่เห็นฝั่ง พวกมนุษย์ทั้งหลายพากันตายหมดแล้ว เราไม่มีจิตเป็นอย่างอื่น นี้เป็นวีริยบารมีของเรา.
               ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.
               เราบรรลุถึงอธิวาสนขันติเป็นต้น อันมีสภาพเป็นขันติชั้นอุกฤษฏ์อย่างยอดเยี่ยม ถึงขันติบารมีชั้นยอด.
               อธิบายว่า ยังขันติบารมีให้สมบูรณ์.
               ในบทนั้นไม่มีปริมาณของอัตภาพที่พระมหาสัตว์บำเพ็ญขันติบารมี ในกาลมีอาทิอย่างนี้ คือ ในกาลเป็นพระยาวานร ในกาลเป็นพระยากระบือ ในกาลเป็นรุรุมิคราช ในกาลเป็นธรรมเทพบุตร.
               อนึ่ง ขันติบารมีของพระมหาสัตว์นั้น ครั้งเป็นขันติวาทีดาบสเสวยทุกข์ใหญ่ ดุจไม่มีจิตใจอย่างนี้ว่า : เราไม่โกรธพระราชากาสี ผู้โบยเราด้วยขวานอันคม เหมือนเราไม่มีจิตใจ. นี้เป็นขันติบารมีของเรา.
               ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.
               เราทำอธิษฐานสมาทานกุศลอธิษฐานสมาทานบารมีนั้นๆ และสมาทานธรรมเป็นอุปการะแก่บารมีนั้นให้มั่นไม่ให้หย่อน.
               อธิบายว่า อธิษฐานสมาทานข้อปฏิบัตินั้นๆ โดยไม่มีการกลับกลอก.
               ในบทนั้น ไม่มีปริมาณแห่งอัตภาพของพระมหาสัตว์ผู้บำเพ็ญอธิษฐานบารมี ในกาลมีอาทิอย่างนี้ คือ ในกาลเป็นโชติปาละ ในกาลเป็นสรภังคะ ในกาลเป็นพระเนมิ.
               อธิษฐานบารมีของพระโพธิสัตว์นั้นครั้งเป็นพระเตมิยกุมาร อธิษฐานพรตสละชีวิตอย่างนี้ว่า : เราไม่เกลียดชังพระมารดาและพระบิดา เราไม่เกลียดตัวเรา. พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงอธิษฐานพรต.
               ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.
               เราตามรักษาสัจวาจา รังเกียจโวหารที่ไม่เป็นอริยะ แม้ในเวลามีอันตรายถึงชีวิต ก็คงรักษาไว้ คือรักษาคำพูดที่ไม่ผิดปกติโดยประการทั้งปวง.
               ในบทนั้น ไม่มีปริมาณของอัตภาพของพระมหาสัตว์ที่บำเพ็ญสัจบารมี ในกาลมีอาทิอย่างนี้คือ ในกาลเป็นพระยาวานร ในกาลเป็นสัจจดาบส ในกาลเป็นพระยาปลา.
               อนึ่ง สัจบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น ครั้งเป็นมหาสุตโสม สละชีวิตตามรักษาคำสัตย์อย่างนี้ว่า : เราตามรักษาสัจวาจา สละชีวิตของเราให้โปริสาทปลดปล่อยกษัตริย์ ๑๐๑. นี้เป็นสัจบารมีของเรา.
               ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.
               เราถึงเมตตาบารมีอันมีลักษณะนำสิ่งเป็นประโยชน์ในสรรพสัตว์โดยไม่เจาะจง อันเป็นบารมีชั้นอุกฤษฏ์อย่างยิ่ง.
               ในบทนั้น ไม่มีปริมาณของอัตภาพของพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญเมตตาบารมี ในกาลมีอาทิอย่างนี้ คือ ในกาลเป็นจูฬธรรมปาละ ในกาลเป็นมหาสีลวราช. ในกาลเป็นสามบัณฑิต.
               อนึ่ง เมตตาบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น ครั้งเป็นสุวรรณสาม แผ่เมตตาไม่เหลียวแลแม้ชีวิตอย่างนี้ว่า : ใครๆ ไม่สะดุ้งหวาดกลัวเรา แม้เราก็ไม่กลัวใครๆ. อันกำลังแห่งเมตตาอุปถัมภ์ไว้ เราจึงยินดีในป่าใหญ่ ในกาลนั้น.
               ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.
               เรามีจิตเสมอไม่ผิดปกติ ในการนับถือด้วยการบูชาสักการะเป็นต้น โดยเคารพ ในการดูหมิ่นด้วยการถ่มน้ำลายเป็นต้น และในโลกธรรมทั้งปวง ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณอันยอดเยี่ยมสูงสุด.
               ในบทนั้น ไม่มีปริมาณแห่งอัตภาพที่พระมหาสัตว์บำเพ็ญอุเบกขาบารมี ในกาลมีอาทิอย่างนี้ คือ ในกาลเป็นพระยามหาวานร ในกาลเป็นพระเจ้ากาสี ในกาลเป็นเขมพราหมณ์ ในกาลเป็นอัฐิเสนปริพาชก.
               อนึ่ง อุเบกขาบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น ครั้งเป็นมหาโลมหังสะแม้เมื่อเด็กชาวบ้านทำให้เกิดสุขและทุกข์ ด้วยการถ่มน้ำลายเป็นต้น และด้วยการนำดอกไม้ของหอมเป็นต้น เข้าไปก็ไม่ละเลยอุเบกขาอย่างนี้ว่า : เรานอนอยู่ในป่าช้า เอาซากศพอันมีแต่กระดูกทำเป็นหมอนหนุน. เด็กชาวบ้านพวกหนึ่งพากันเข้าไปทำความหยาบช้าร้ายกาจนานัปการ.
               ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.
               ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถึงการบำเพ็ญทุกรกิริยาที่พระองค์ทรงทำแล้วในภัทรกัปนี้ เพื่อบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณโดยสังเขปว่า : เราได้เสวยทุกข์และสมบัติมากมายหลายอย่าง ในภพน้อยและภพใหญ่ตามนัยที่กล่าวแล้วนี้ แล้วจึงได้บรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด.
                 จบอรรถกถาอุททานคาถา               
               ------------------------------------            

 

 

หมายเลขบันทึก: 713009เขียนเมื่อ 1 มิถุนายน 2023 12:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 มิถุนายน 2023 12:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท