"การเสียดินแดนครั้งที่ 9 ฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน (5 เมืองเงี้ยว และ 13 เมืองกะเหรี่ยง) ให้กับประเทศอังกฤษ


*เสียดินแดนครั้งที่ 9  ฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน (5 เมืองเงี้ยว และ 13 เมืองกะเหรี่ยง) 

 

การสูญเสียดินแดนครั้งที่ 09 - การสูญเสียดินแดนของไทย

 

    “การสูญเสียดินแดนครั้งที่ 9”  ฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน ให้กับประเทศอังกฤษ 

    -ในสมัย รัชกาลที่ ๕ ในห้วงปี ๒๔๓๓ เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ทางด้านรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจและทรัพยากร อันอุดมด้วยดินแดนผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ยิ่ง
     -การเสียดินแดนใน ร.ศ.๑๑๑ (พ.ศ.๒๔๓๕) สาเหตุที่อังกฤษเข้ายึดครอง "รัฐชายขอบล้านนา"บริเวณหัวเมืองเงี้ยวทั้งห้า และหัวเมืองกะเหรี่ยงตะวันออกเป็นดินแดนรวม ๑๓ หัวเมือง (บริเวณที่เป็นดินแดนของสหภาพพม่าในปัจจุบัน) อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า เพราะความสำคัญทางเศรษฐกิจ ของดินแดนดังกล่าว ซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้สัก นอกจากนั้น ยังมีสาเหตุมาจากปัญกากรณีพิพาทเรื่องป่าไม้และปัญหาโจรผู้ร้ายตามหัวเมืองชายแดน ที่ทำให้รายได้ของอังกฤษจากการ เก็บภาษีป่าไม้ที่เมืองมะละแหม่งลดลง อังกฤษถือว่าเป็นการเสียผลประโยชน์มาก และประการสุดท้ายเป็นเพราะเชียงใหม่ ไม่สามารถควบคุมดูแลหัวเมืองชายแดนฝั่งตะวันออกของลุ่มน้ำสาละวินได้ ส่วนรัฐบาลกลางเข้าไปดูแลและแก้ไขสถานการณ์ ไม่ทันท่วงที ขณะที่อังกฤษแทรกอำนาจลงไปรวดเร็วกว่า ด้วยสาเหตุข้างต้น เปิดโอกาสให้อังกฤษยึดครองดินแดนชายขอบล้านนา 
  -ความต้องการเข้าครอบครองดินแดน ๑๓ หัวเมือง เริ่มขึ้นหลังจากที่อังกฤษได้ครอบครองพม่าทั้งประเทศแล้วใน พ.ศ.๒๔๒๘ โดยอังกฤษได้ทำการปราบปรามหัวเมืองต่าง ๆ ทางด้านตะวันออกของพม่าที่ก่อความวุ่นวายตามบริเวณชายแดน ครั้นอังกฤษ สามารถควบคุมได้ถึงหัวเมืองชายแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวินแล้ว อังกฤษก็ได้เห็นความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจของ บริเวณดังกล่าวซึ่งเต็มไปด้วยป่าไม้สัก อังกฤษจึงอ้างสิทธิของตนเข้าครอบครอง โดยใช้วิธีอ้างว่าดินแดน ๑๓ หัวเมืองนี้ พม่าเคยมีสิทธิครอบครองมาก่อน ส่วนสยามก็อ้างสิทธิว่าบริเวณชายขอบนั้นเป็นดินแดนของล้านนามาร้อยปีเศษแล้ว โดยยกข้อความในพงศาวดารที่กล่าวถึงเมืองเชียงใหม่ยกทัพปราบหัวเมืองต่าง ๆ ประกอบ และอ้างว่า ดินแดนฝั่งตะวันออก ของแม่น้ำสาละวินเป็นของเชียงใหม่ ตามข้อตกลงระหว่างพระเจ้ากาวิละแห่งเมืองเชียงใหม่กับเจ้าเมืองยางแดง ที่ถือเอาแม่น้ำ สาละวินเป็นเขตแดน มีเขาควายที่ยึดถือไว้คนละซึกเป็นหลักฐานการแบ่งเขตแดน
   -อย่างไรก็ตาม ระยะแรกที่ทำสัญญาเชียงใหม่ ฉบับ พ.ศ.๒๔๑๖ และฉบับ พ.ศ.๒๔๒๖ นั้น อังกฤษก็ยอมรับว่าเขตแดนของ ไทยจดฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน แต่ต่อมาอังกฤษต้องการยึดดินแดน ๑๓ หัวเมือง อังกฤษกลับอ้างว่าไม่ยอมรับ ประเพณีการแบ่งเขตแดนที่ไม่มีลายลักษณ์อักษรที่ไทยอ้าง และยังอ้างว่ารัฐบาลสยามไม่ได้มีอำนาจปกครองเมืองต่าง ๆ ตามชายแดน ซึ่งราษฎรเป็นชาติพม่าและเงี้ยวเลย แท้จริงแล้วในพ.ศ.๒๔๒๗ เมื่อกรมหมื่นพิชิตปรีชากรเข้ามาปฏิรูป เชียงใหม่ได้เข้าไปอ้างสิทธิ์ และส่งกำลังไปรักษาตามเมืองชายแดนที่มีปัญหา แต่รัฐบาลสยามไม่ดำเนินการต่อเนื่อง ประกอบกับท่าทีอังกฤษ หลังจากยึดครองพม่าตอนเหนือ (พ.ศ.๒๔๒๘) แล้วได้ให้ความสนใจกับหัวเมืองเงี้ยวมาก ถึงกับทูล พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงษวโรประการ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศอย่างชัดเจนใน พ.ศ.๒๔๓๑ ว่า
  -"...คอนแวนต์ของสมเด็จพระนางเจ้าได้มีความประสงค์แล้วที่จะเอาหัวเมืองทั้งห้านี้ไว้ในความปกครองของอังกฤษ เหตุนั้นจึงมีคำสั่งแล้ว..."
 -ภายใต้ความต้องการของอังกฤษ ในที่สุดรัฐบาลสยามก็เป็นฝ่ายยอมยุติยกหัวเมืองเงี้ยวและกะเหรี่ยงให้อังกฤษตามความใน ประกาศของเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยดังนี้
  -"...ด้วยมีพระบรมราชโองการมา ณ พระบัณฑูรสุรสิงหนาทดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า แนวพระราชอาณาเขตต่อกับเมืองพม่า ของอังกฤษซึ่งเป็นข้อโต้เถียง ยังไม่ตกลงกันมาแต่ก่อนนั้น บัดนี้ได้ปฤกษาปรองดองกันกับราชาธิปไตยฝ่ายอังกฤษ ยอมยกเมืองเชียงแขงแลหัวเมืองฝ่ายตะวันตกเมืองเชียงแสนถวายไว้ในพระราชอาณาเขต จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานหัวเมืองเงี้ยวและกะเหรี่ยง ยางแดง คือที่เรียกว่า เมืองแจะ เมืองใหม่ เมืองทา เมืองจวด เมืองหาง เมืองต่วน เมืองสาด เมืองยวม เมืองตูม เมืองกวาน เมืองไฮ บ้านฮ่องลึก เมืองโก ให้เป็นของอังกฤษ ตกลงกันดังนี้... "
     -การเสียดินแดนดังกล่าวให้อังกฤษนั้น เป็นเพียงดินแดนที่อำนาจรัฐล้านนามีอยู่อย่างเบาบางและไม่สม่ำเสมอ เพราะเป็นรัฐ ชายขอบที่มิใช่ดินแดนล้านนา ส่วนดินแดนล้านนาที่แท้จริงยังอยู่ในเขตสยามประเทศ

  **“ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน” 

  -(5 เมืองเงี้ยว และ 13 เมืองกะเหรี่ยง) พื้นที่ 30,000  ตร.กม. 

   -ปัจจุบันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัฐฉานและรัฐกะยาในสหภาพพม่า
ดินแดนแถบนี้เต็มไปด้วยชนกลุ่มน้อยอยู่เป็นจำนวนมากทั้งไทใหญ่และกะเหรี่ยงเป็น ดินแดนที่ค่อนข้างเข้าถึงยากเกินกว่าที่อำนาจของล้านนาจะเข้าไปถึงและยังเป็นพื้นที่ ที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ทำให้อังกฤษสนใจพื้นที่แถบนี้เป็นอย่างมาก เพราะเหตุนี้หลัง
   -จากอังกฤษสามารถยึดครองพม่าได้เสร็จสรรพแล้วอีกทั้งมีสถานีการค้าอยู่ที่อินเดีย อีกซึ่งเป็นเขตที่ติดต่อกันได้ง่ายระหว่างพม่าและอินเดียสมประโยชน์ในด้านทรัพยากร ของอังกฤษ  เป็นอย่างยิ่งอังกฤษเลยใช้วิธีการอ้างศิทธิว่าพื้นที่ในดินแดนฝั่งซ้าย
   แม่น้ำสาละวินนี้เคยเป็นของพม่ามาก่อนเพราะฉะนั้นจึงต้องตกเป็นของอังกฤษ
   -ฝ่ายไทยหรือสยามในขณะนั้นก็อ้างสิทธิโดยชอบว่าดินแดนแถบนั้นอยู่ภายใต้การ  ครอบครองของอาณาจักรล้านนามาเป็นเวลานับร้อยปีมาแล้ว ทางฝั่งพม่าก็ยอมรับ เรื่องนี้มานานและได้ใช้แม่น้ำสาละวินเป็นเส้นกั้นเพื่อแบ่งเขตแดน อังกฤษถึงจะรู้
   -ดังนั้นแต่ด้วยความที่ป่าแถบนั้นอุดมสมบูรณ์มีผลประโยชน์ให้เก็บเกี่ยวก็ไม่สนใจ และอ้างว่าไม่ยอมรับเพราะไม่มี การทำเขตแดนเป็นลายลักษณ์อักษร    และประชากรในแถบนั้นยังเป็นคนท้องถิ่นที่อยู่ในเขตพม่าไม่ใช่คนของสยาม

   -ที่อยู่ที่นั่น  อังกฤษในฐานะผู้อยู่เหนือพม่าและดินแดนชายขอบของล้านนาที่ยังไม่ เด่นชัดจึงอ้างสิทธิเข้ายึดครองโดยไม่สนใจฝั่งสยามเพราะทหารสยามในขณะนั้น ไม่มีกำลังรบที่จะต่อกรกับแสนยานุภาพของจักวรรดิอังกฤษได้เลย
   -จำต้องยอมให้อังกฤษมีอำนาจและปกครองดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน
แถบนั้นไปทั้งหมด สยามก็เป็นฝ่ายยอมยุติยกหัวเมืองเงี้ยวและกะเหรี่ยงให้อังกฤษไป

หมายเลขบันทึก: 709475เขียนเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2022 09:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2022 20:50 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท