ปี 2564 ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้ว (ผู้สูงอายุ 20+%) จากยุค ฺฺBaby Boomer ปี 2566 จะมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มในฐานประชากรเกินปีละ 1 ล้านคนไปเรื่อย ๆ และจะมีชีวิตยืนยาวไปอีกอย่างน้อย 20+ ปี ทำไมเราผู้เตรียมตัวสูงวัยจึงควรสนใจประเด็นนี้
บันทึกเป็นชีวประวัติ ครั้งหนึ่งเคยไปร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการหาแนวทางร่วมมือถ่ายโอนภารกิจจัดบริการด้านสาธารณสุขของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ด้านสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุ ไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดโดยสำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข วันที่ 26 - 28 ตุลาคม 2565 ณ ห้องน้ำเอก โรงแรมเอบีน่าเฮาส์ กทม.
กระบวนการจัดประชุม มีทั้งการบรรยาย ซักถาม การอภิปรายตัวอย่าง รพ.สต.ที่ถ่ายโอนไปเทศบาลแล้วเพิ่มคุณค่าการจัดบริการสาธารณสุขแก่ผู้สูงอายุได้อย่างดี การประชุมกลุ่ม 2 รอบ ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างกว้างขวาง
ประทับใจการมองเห็นโอกาสที่จุดแข็งของการจัดบริการสุขภาพด้านรักษาพยาบาลและฟื้นฟูสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขและเครือข่าย การมีความเข้มแข็งของระบบอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ที่อยู่คู่สังคมไทยมายาวนานในการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ทั้งโรคติดต่อและไม่ติดต่อ โอกาสการรับฟังเสียงความเห็นของประชาชน ก่อร่างสร้างเป็นนโยบายสาธารณะในการดูแลสุขภาพประชาชน เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิต โอกาสการวางแผนงบประมาณ วางแผนกำลังคนและอื่น ๆ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาล หน่วยงานที่จะรับโอนภารกิจจัดบริการสาธารณสุขของ รพ.สต. ที่ยังไม่ได้ถ่ายโอนของประเทศไทยต่อไป
การร่วมสานพลังของทุกหน่วยงานในช่วงฝุ่นตลบนี้ เพื่อให้ภาคการปกครองส่วนท้องถิ่นได้ออกแบบระบบบริการสาธารณสุข ที่ภาคประชาชนควรจะมีส่วนร่วมดูแลสุขภาพตนเองอย่างเข้าใจและเหมาะสมกับจุดสมดุลสถานะการเงินของของครัวเรือน (มีจำนวนผู้สูงอายุให้ดูแลเพิ่มและจำนวนปีที่ต้องดูแลเพิ่มขึ้นด้วย) การรวมกลุ่ม ชมรม หรือพลังชุมชนจะเพิ่มการช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้อย่างไร ผ่านการสนับสนุนงบประมาณและอื่น ๆ จาก อบจ. เทศบาล อบต. เพราะอย่างไรเสีย งบประมาณของประเทศด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตก็ไม่ได้มีให้ใช้แบบสบาย ๆ
การดูแลสร้างเสริมสุขภาพเราเองให้แข็งแรงตามวัยใช้ชีวิตได้ปกติสุข จึงเป็นต้นทุนที่มีคุณค่า ก่อนความเสื่อมตามอายุจะค่อย ๆ มาเยือนตามธรรมชาติอยู่แล้วนะคะ
ลูกหลานอาจทำงานในกทม.หรือตัวเมือง และควรจับตามองนโยบายการหาเสียงของ อบจ.ปีหน้าอย่างใกล้ชิด จะส่งผลต่อบริการด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตพ่อแม่ตายายปู่ย่า ผู้สูงวัยของครอบครัวและพี่น้องที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด … มากน้อยเพียงใด
ขอบพระคุณอาจารย์และผู้เข้าประชุมที่ให้ความรู้ ทุกคนที่เปิดใจร่วมกิจกรรม ให้ข้อเสนอแนะเชิงบวก และอุปสรรคที่คาดได้ว่าจะเกิดในช่วงถ่ายโอน ดีใจที่ส่วนใหญ่คนในห้องเห็นประโยชน์สุขของประชาชนมาก่อน แม้ความพร้อมการถ่ายโอนภารกิจจะต่างกันในแต่ละจังหวัด แต่เชื่อว่าจุดเปลี่ยนอำนาจการดูแลตนเองของประชาชนและการปกครองส่วนท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้นครั้งนี้ จะส่งผลต่อระบบสุขภาพสังคมไทยในทางที่ดีงามยิ่งขึ้น
โปรดติดตามกันต่อยาว ๆ นะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
ไม่มีความเห็น