หน้าแรก
สมาชิก
"คนเมืองน้ำดำ"
สมุด
รวมสารพัดเรื่องรา...
"ชาวขอม และปราสา...
"คนเมืองน้ำดำ"
นาย ทรงศักดิ์ ภูเก้าแก้ว
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
"ชาวขอม และปราสาทขอม ในประเทศไทย"
“ขอม” คืออะไร
* -“ขอม”
เป็นชื่อทาง
วัฒนธรรม
ไม่ใช่
ชื่อชนชาติ
* -"
ขอม"
หมายถึง คนกลุ่มหนึ่งที่อยู่บริเวณ
ลุ่มน้ำเจ้าพระยา
นับถือ
ฮินดูหรือพุทธมหายาน
-ทางใต้ของ
แคว้นสุโขทัย
อาจจะหมายถึงพวก
ละโว้
(หรือ
ลพบุรี
)
-เอกสารทาง
ล้านนา
เช่น จารึกและตำนานต่างๆ ล้วนระบุสอดคล้องกันว่า
“
ขอม"
คือพวกที่อยู่ทางใต้ของ
ล้านนา
(ในสมัยอาณาจักรสุโขทัย) -คำว่า ”
ขอม"
สัญนิษฐานว่ามาจากคำว่า
“เขมร”+”กรอม”
(ที่แปลว่าใต้) พูดเร็วๆ กลายเป็น “ขอม”
-พวกนี้ตัดผมเกรียน และ
นุ่งโจงกระเบน
กินข้าวเจ้า
ฯลฯ
-
แคว้นละโว้
มีชื่อในตำนาน และพงศาวดารว่า
กัมโพช
เลียนอย่างชื่อ
กัมพูชา
ของ
เขมร
นับถือทั้งฮินดูและพุทธมหายาน
-อาจารย์
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
เคยเขียนอธิบายไว้ว่า
"ขอมเป็นพวกนับถือ
ฮินดู
หรือ
พุทธมหายาน
ใครเข้ารีตเป็นฮินดู หรือพุทธมหายาน เป็นได้ชื่อว่า ขอม ทั้งหมด
-
ขอมไ
ม่ใช่ชื่อชนชาติ เพราะไม่มี
ชนชาติขอม
แต่เป็นชื่อทางวัฒนธรรม เช่นเดียวกับ
สยาม
*ขอม เขมร ขะแมร์
-เดิม
ขอม
ไม่ได้หมายถึง
เขมร
กลุ่มเดียว เพราะ
เขมร
นั้น เป็นคำไทย ซึ่ง หมายถึง
ขะแมร์
-
ชาวเขมร ไม่ได้เรียกตัวเองว่า “
ขอม”
และไม่รู้จัก
“ขอม”
-โดยคำว่า “
เขมร”
ได้ปรากฏขึ้นอย่างน้อย ๆ เมื่อ
พ.ศ. 1069
จากจารึกคำว่า
เขมร
ในจารึกซับบาก อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา
-ต่อมา สถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นใหม่ เมื่อ พ.ศ. 1893
แล้วชื่อ ขอม มีความหมายเปลี่ยนไปเป็นพวกเขมรเท่านั้น
สืบมาจนถึงทุกวันนี้
-
"ทำไมชื่อขอม เปลี่ยนความหมายไปเป็นเขมร ?
"… ยังหาคำอธิบายไม่ได้ชัดเจน แต่พอจะจับเค้าว่าเพราะบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานับถือพุทธนิกายเถรวาทหมดแล้ว รวมทั้งละโว้ แต่ทางเขมรยังมีพวกนับถือฮินดูกับพุทธมหายาน คือขอมอยู่บ้าง
-คำว่า
“ขอม”
ปรากฏในจารึกวัดศรีชุม สุโขทัย 2 แห่ง ระบุชื่อ
ขอมสบาดโขลญลำพง
(
จิตร ภูมิศักดิ์
)
เป็นนักวิชาการคนแรก ๆ พยายามศึกษาและอธิบายคำคำนี้ใหม่ ได้เสนอว่า
ขอม
ไม่ได้หมายถึงชนชาติหรือเชื้อชาติ แต่หมายถึง
กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง
ที่รับวัฒนธรรมฮินดูจากชมพูทวีปแล้วภายหลังเปลี่ยนเป็นพุทธมหายาน (ต่างกับชนชาติไทย-ลาวที่นับถือผีก่อนเปลี่ยนมารับพุทธเถรวาทจากชมพูทวีป)
-ใช้อักษรขอมในการจดจารึก ซึ่งคนกลุ่มนี้รวมถึงชนชาติเขมรและรัฐเครือญาติทั้งหมด รวมทั้งละโว้ ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็น
อโยธยาศรีรามเทพนคร -
ด้วย คำว่า
"ขอม"
ถูกใช้เรียกกลุ่มคนโดยรวม คล้ายกับการใช้คำว่า
"แขก
" เรียกคนอิสลาม/ซิกข์/ฮินดูโดยรวม โดยไม่แยกว่าเป็นคนอินเดีย มลายู ชวา หรือตะวันออกกลาง
-
จิตร
ยังอธิบายว่า คำว่า
"ขอม"
ถูกนำมาใช้ในงานเขียนสมัยใหม่ (ขณะนั้น)โดยมีความรู้สึกชาตินิยมเป็นพื้นมากกว่าข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เช่นการถือว่าขอมเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เคยแผ่อำนาจมาครอบครองดินแดนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงสุโขทัย มีอำนาจปกครองเหนือชาวไทยโบราณ ต่อมาชาวไทยที่สุโขทัยจึงลุกขึ้นต่อสู้เพื่อให้พ้นจากอำนาจของขอม เพื่อสร้างความรู้สึกชาตินิยมในประเทศไทย
-สุจิตต์ วงษ์เทศ
(นักวิชาการแห่งสำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม) ก็เสนอว่า “
ขอม”
ในที่นี้น่าจะหมายถึง
คนในที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ต่อสู้ชิงความเป็นใหญ่กับคนทางเหนือ
-คำว่า
ขอม
ใช้เรียกคน
เมืองละโว้หรือลพบุรี
ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เก่าแก่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และต่อมาจึงเรียกรวมไปถึง
เมืองอโยธยาศรีรามเทพนคร
ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ
อยุธยา
-จากนั้นในหลักฐานประวัติศาสตร์ของอยุธยา ได้ใช้คำนี้เรียกคนในดินแดนเขมรแถบเมืองพระนครหรือนครธม ในข้อความที่ว่า
"ขอมแปรพักตร์"
และในกฎมณเฑียรบาล น่าจะหมายถึงคนในเขมรหรือกัมพูชา
- โดยสรุป คำว่า
“ขอม”
เป็นคำเรียกคน มีความหมายทางวัฒนธรรมและมีความหมายเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา
*ขอม คือใคร
แล้วหายไปไหน หรือยังเหลืออยู่ แต่เปลี่ยนชื่อเรียก"
- มีการวิเคราะห์ไว้ว่า
ขอม
คือ คำที่กลุ่มชนที่ใช้ภาษาตระกูลไท-ลาว หรือ มอญ ใช้เรียกกลุ่มชนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงลงไปถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ละโว้ไปจนถึงทะเลสาบเขมรอย่างกว้างๆ มีความหมายเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
"ขอม"
สันนิษฐานว่ามาจากภาษาเขมรโบราณคือ
"กโรม (karom)"
ซึ่งภาษาเขมรปัจจุบันใช้คำว่า
"โกฺรม (krom)"
เดิมมี 2 ความหมายซึ่งไม่ได้หมายถึงชนชาติอย่างในสมัยหลัง คือ
-1. หมายถึง ลงไปต่ำ, ใต้, ภายใต้, ต่ำกว่า, ลง, ผู้ต่ำกว่า พบในจารึกเขมรสมัยพระหลายหลัก เช่น จารึก K. 561 ใช้คำว่า "กุ กโรํ" แปลว่า "ทางผู้หญิงกโรม" (อาจหมายถึงผู้อยู่ทางใต้) จารึก K. 927 ใช้ "โละ กโรํ ตนลฺ" แปลว่า "ลุใต้ถนน"
-2. หมายถึง ประเทศ, ดินแดน, เขต, ดิน, แผ่นดิน พบในจารึกเขมรโบราณหลายหลัก เช่น จารึก K.426 ใช้คำว่า "ทํริง กโรมฺ จํกา" แปลว่า "สวน เขต ไร่" จารึก K.904 ใช้คำว่า "โอย กโรํ ต มรตาญ" แปลว่า
"ให้ที่ดินแก่มรตาญ"
(ตำแหน่งขุนนางเขมรสมัยพระนคร) จารึก K.720 ใช้คำว่า
“ทํนป...โตย กโรํ โผง” แปลวา “ทำนบ...โดยที่ดินผอง”
-ในเอกสารประเภทตำนานกลุ่มชนในภาษาตระกูลไท-ลาว เช่น ตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ เรียกพวกชาวเมืองอุโมงคเสลาว่า
กรอม
หรือ
กรอมดำ
ส่วนตำนานสิงหนวติเรียกกลุ่มชนเดียวกันนั้นว่า
ขอม
หรือ
ขอมดำ
ในเอกสารรุ่นหลังก็เขียนเพี้ยนจาก
กรอม
เป็น
กล๋อม
คนไตลื้อสิบสองปันนาเรียกว่า
กะหลอม
นอกจากนี้ยังมีเรียกเพี้ยนกันไปในภาษาต่างๆ เช่น ไทใหญ่ มูเซอ ยูนนาน แต่ในทางนิรุกติศาสตร์เป็นคำเดียวกัน
-จากคำอธิบายของชาวไตลื้อในปัจจุบันอธิบายว่า
กระหลอม
หมายถึง
"ชาวใต้ มาจากใต้ ตัดผมสั้น นุ่งผ้าโจงกระเบนทั้งหญิงและชาย"
-จากตำนานไตเหล่านี้พบว่า
กรอม หรือ ขอม
คือ.
."กลุ่มชนที่เคยครองครองดินแดนตั้งแต่ปากแม่น้ำโขงขึ้นไปถึงมณฑลยูนนาน จากน้ำตูในด้านตะวันตกของรัฐฉาน ผ่านลุ่มแม่น้ำกกไปจนถึงแม่น้ำดำในเวียดนามเหนือ ซึ่งมีร่องรอยว่าได้อพยพจากใต้ขึ้นเหนือ เป็นกลุ่มชนที่เคยครองดินแดนในบริเวณนี้ก่อนชาวไตจะเข้ามา"
-
จิตร ภูมิศักดิ์
วิเคราะห์ว่าหมายถึง
ชาวฝูหนาน ซึ่งผิวดำ ผมหยิกแบบชนชาติในตระกูลโพลีนีเซียจากทะเลใต้ และเป็นกลุ่มเดียวกับ 'นาค' ที่ลาวใต้ ซึ่งเป็นประชากรของเจินละ (เป็นชนชาติตระกูลมอญ-เขมร)
-"กรอม"
ในภาษามอญเขียนว่า
โกฺรม หรือ โกฺรํ
ส่วนในภาษาพม่าสะกดว่า
คฺ-ยวน
ปรากฏในพงศาวดารกรุงสุธรรมวดี
(สะเทิม)
ว่าใน พ.ศ. 1599 รัชกาลพระเจ้าอุทินนะ ชาวกรอมยกทัพไปตีกรุงสุธรรมวดี ส่วนพงศาวดารพม่าและจารึกพม่าที่สักกาะลัมปะเจดีย์ก็ระบุว่าในรัชกาลพระเจ้าอโนรธาก็ระบุไว้ตรงกันว่ามีพวก
คฺยวน
ยกทัพมาตีเมืองพะโค (มอญ) พม่ายกทัพไปช่วยและได้รับชัยชนะ
-พงศาวดารพม่าฉบับหอแก้วอธิบายอาณาเขตในรัชกาลพระเจ้าอโนรธาไว้ว่า ทางตะวันออกเฉียงใต้จรดแดนของชาว
คฺยวน
หรือที่เรียกอีกอย่างว่า
อรอซะ
อีกแห่งหนึ่งจนอาณาเขตใน พ.ศ. 1632 เรียกดินแดนของ
ชาวคฺยวน
ว่า
อโยชะ
ซึ่งก็หมายถึง
อโยชชะ
อันเป็นภาษาบาลีของ อโยธยา จึงเข้าใจได้ว่า ขอม ในบริบทของมอญ-พม่า ในยุคโบราณนั้นหมายถึงกลุ่มคนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตละโว้-อโยธยา ซึ่งพงศาวดารล้านช้างเรียกว่า “
ละโว้โยทิยา”
และตำนานไตทางเหนือเรียกว่า
“ลวะรัฐ”
-เหตุใดจากเดิมคำว่า
กรอม
ที่เคยเป็นคำในเรียกกลุ่มชนในสองฝั่งโขงตามตำนานไตกลายเป็นคำเรียกกลุ่มชนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จิตรสันนิษฐานไว้ว่าชนพื้นเมืองในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก็น่าจะเป็นชนกลุ่มเดียวกัน ถึงแม้ว่าภายหลังจะมีกลุ่มชนที่ใช้ไทลงมาอาศัยอยู่ผสมปนเปกับคนพื้นเมือง คนต่างถิ่นก็ยังคงเรียกดังเดิม ดังที่พบว่าในยุคหลังดินแดนแถบนี้กลายเป็นของกลุ่มชนที่เรียกตนเองว่าไทยแล้ว คนไตลื้อไทใหญ่ก็ยังคงเรียกคนในแถบนี้ว่า กะหลอม อยู่
-ในภาษาลาวโบราณ พบว่า
ขอม
ใช้กว้างๆ ในแง่การอธิบายกลุ่มชนประเภท ข่า/เขมร ดังทางภาษาลาวปัจจุบันนิยมพ่วงว่า ข่า/ขอม
-ในหลักฐานของล้านนาในพุทธศตวรรษที่ 21 ไม่พบการใช้งานคำว่า ขอม ตรงๆ แต่มีการเรียกดินแดนละโว้ว่า “
กัมโพช/กัมโพชา”
ตั้งแต่การกล่าวถึงเหตุการณ์ในพุทธศตวรรษที่ 16 ซึ่งมีการวิเคราะห์ว่าแปลมาจากภาษาพื้นเมืองคือ ขอม เนื่องจากในเอกสารภาษาบาลีของล้านนาแต่โบราณใช้คำว่า
กัมโพช = ขอม
บ้างก็แปลเป็น
เขม
รวมถึงเรียกการนับปีแบบสิบสองนักษัตรของคนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาว่า
ขอม
เช่นเดียวกับที่พบในจารึกสมัยสุโขทัย
-ในจารึกของสุโขทัยกล่าวถึง
ขอม
อยู่หลายครั้ง ซึ่งมีการวิเคราะห์ว่าใช้เป็นคำเรียกคนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา อาจรวมไปถึงวัฒนธรรมทะเลสาบเขมรซึ่งมีภาษาและประเพณีใกล้เคียงกัน พบหลักฐานการนับปีแบบสิบสองนักษัตร ขอมจึงควรจะเป็นคำของกลุ่มชนที่ใช้ภาษาไทที่ใช้เรียกขานกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเขมรทางใต้และใช้ภาษาเขมรอย่างกว้างๆ
-เอกสารของชาวไทยสยาม ตั้งแต่สมัยอยุทธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ได้เปลี่ยนมาเจาะจงความหมายของคำว่า
"ขอม"
หมายถึง
"เขมร"
เพียงความหมายเดียวเท่านั้น
-ในทะเลสาบเขมรมีหลักฐานการเรียกประชากรว่า
"เขมร"
มาตั้งแต่โบราณ ไม่เคยพบหลักฐานเรียกตนเองว่า
"ขอม"
เช่นเดียวกับที่ไม่พบหลักฐานว่ากลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า
ขอม กรอม
ฯลฯ เคยเรียกตนเองด้วยชื่อดังกล่าว เพราะเป็นชื่อที่คนต่างถิ่นเป็นผู้เรียก
-คำว่า
เขมร
ปรากฏครั้งแรกในศิลาจารึกสมัยก่อนพระนคร อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 คือศิลาจารึก Ka.64 พบที่บ้านเมลบ (เมลุบ) ตำบลโรกา อำเภอเปียเรียง จังหวัดไพรแวง ทางทิศตะวันออกของกรุงพนมเปญ ได้กล่าวถึง
"กฺญํ อฺนกฺ เกฺมร"
-คำว่า
"เกฺมร (kmer)"
ในภาษาเขมรโบราณสมัยก่อนพระนคร ตรงกับคำว่า
"เขฺมร (khmer)"
ในภาษาเขมรสมัยพระนคร เมื่อรวมความหมายของคำว่า
"กฺญํ อฺนกฺ เกฺมร"
จึงน้าจะแปลว่า "ข้ารับใช้(ที่เป็น)ชาวเขมร" แสดงว่าชาวเขมรเรียกตนเองว่า
"เกฺมร"
มาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 12 แล้ว
-ต่อมามีวิวัฒนาการทางเสียง ทำให้เสียง
ก (k)
ในภาษาเขมรก่อนพระนคร กลายเป็น
ข (kh)
ในภาษาเขมรสมัยพระนคร
-ในสมัยพระนครพบหลักฐานการเรียกตนเองว่า "เขฺมร" อย่างชัดเจน ปรากฏในศิลาจารึกปราสาทบันทายฉมาร์ (K.227) สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พุทธศตวรรษที่ 18 ที่ปราสาทบันทายฉมาร์ ตำบลถมอป๊วก เมืองเสียมราบ มีข้อความตอนหนึ่งว่า
..."บันทูลให้มีราชพิธี ณ เสด็จนำชาวเขมร (อฺนกเขฺมร) ทั้ง ๔ ผู้ซึ่งได้ทำการรบเพื่อรักษาความมั่นคง มีจำนวน ๗๔ ตำบลไปยังกัมพุชเทศ แล้วประสาทแก่นักสัญชักทั้งสองโอยนาม "อำเตง และสถาปนารูป"
-จึงสันนิษฐานได้ว่าชาวกัมพูชาโบราณในสมัยพระนครเรียกตนเองว่า
"เขฺมร (khmer)" หรือ "อฺนก-เขฺมร"
ซึ่งแปลว่า
ชาวเขมร
ต่อมาสมัยหลังพระนครมีการเปลี่ยนแปลงทางภาษาทั้งระบบเสียงและพยัญชนะหรือสระ
คำว่า "เขฺมร"
ในภาษาเขมรโบราณจึงเปลี่ยน
สระ "เ (e)"
เป็นสระ
"แ (ae)"
และไม่ออกเสียงพยัญชนะท้าย
"ร (r)"
ภาษาเขมรหลังพระนครจึงออกเสียงว่า "แคฺมร์ (khmaer)" และเขียนว่า
"แขฺมร"
ส่วนคำว่า
"เขมร"
ที่ไทยเรียกเป็นคำที่รับมาจากสมัยพระนคร
-เหตุที่ในสมัยหลังคำว่า
"ขอม"
ในภาษาไทยสยามใช้กำจัดเรียกเฉพาะ
"เขมร"
เท่านั้น สันนิษฐานว่าเป็นผลของจากการค้าทางทะเลกับจีนที่มากขึ้นทำให้มีการย้ายถิ่นฐานของกลุ่มคนที่ใช้ภาษาตระกูลไท-ลาวลงมาตามลำน้ำเจ้าพระยา ภาษาและวัฒนธรรมไท-ลาวเข้าได้ไปมีอิทธิพลในบริเวณรัฐฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นสุพรรณภูมิ ราชบุรี ลงใต้ไปถึงเพชรบุรี หรือนครศรีธรรมราช จากนั้นจึงได้เข้าไปมีอิทธิพลในรัฐทางฝั่งตะวันออกคือละโว้-อโยธยา ผสมผสานกับวัฒนธรรมมอญ-เขมรเดิม จนก่อเนิดกรุงศรีอยุทธยาที่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลาง
-สันนิษฐานว่าเพราะประชากรในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยายุคหลังเปลี่ยนมาใช้ภาษาตระกูลไท-ลาว เป็นหลักแล้ว จึงเปลี่ยนมาเรียกตนเองว่า ไท/ไทย แทน ในขณะที่คำว่า "ขอม" จึงถูกเปลี่ยนมาเจาะจงเรียกเฉพาะชาวเขมร ดังปรากฏว่าในหลักฐานไทยสยามสมัยอยุทธยาและรัตนโกสินทร์ใช้คำว่า ขอม เจาะจงถึงเขมรโดยตลอด
อาจจะสรุปว่า
"ขอม"
เป็นคำที่คนต่างถิ่นเรียกกลุ่มชนอย่างรวมๆ โดยความหมายของ
"ขอม"
สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัย โดย
"เขมร" ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของ "ขอม"
*"อ.ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม" เคยให้ความเห็นไว้ว่า
"ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับจิตรในลักษณะที่คำว่า “ขอม” นั้นมีความหมายทั้ง “กว้าง” และ “แคบ”
-"ที่ว่า
“แคบ”
นั้นหมายถึงการเน้นความสำคัญที่พวกเขมรเมืองพระนคร ทั้งนี้เพราะในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยามีข้อความที่กล่าวว่า “ขอมแปรพักตร์” เป็นสิ่งที่ยืนยันอยู่แล้ว"
-ส่วนในความหมายที่ “กว้าง” นั้น คำว่าขอมไม่จำกัดอยู่เฉพาะที่ประเทศกัมพูชา หากฟุ้งกระจายไปทั่ว รวมทั้งบ้านเมืองในเขตลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย แต่ว่าการแพร่กระจายของชาวขอมนี้ไม่ได้เน้นในเรื่องการเป็นชนชาติ แต่หากเน้นในรูปของวัฒนธรรม และการที่กลุ่มชนในดินแดนที่เกี่ยวข้องกันมีสิ่งร่วมกันในทางวัฒนธรรมเป็นสำคัญ"
-อีกตอนหนึ่งได้สันนิษฐานว่า
"พวกขอมนั้นถ้ามองอย่างแคบๆ ก็หมายถึงชาวเขมรสมัยเมืองพระนครที่นับถือศาสนาฮินดูและพระพุทธศาสนาคติมหายาน แต่ในความหมายที่กว้างออกไปนั้นหมายรวมไปถึงกลุ่มชนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนที่นับถือพระพุทธศาสนาคติมหายานแบบเมืองพระนครที่พัฒนาขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เป็นต้นมา
-ผู้ที่เรียกกลุ่มชนเหล่านี้ว่าขอมก็คือคนในรุ่นหลังที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทแบบลังกาวงศ์นั่นเอง"
-ทั้งนี้เราควรพิจารณาด้วยว่า ในบริบทสมัยโบราณยังไม่ได้แบ่งกลุ่มชาติพันธ์ุตามหลักพันธุศาสตร์ (Ethno-racial) หรือแยกเป็นสัญชาติตามแนวคิดรัฐชาติสมัยใหม่ (Ethno-national) การเรียกขานกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่นั้นพบว่าพิจารณาจากอัตลักษณ์ที่มีรวมกัน เช่น ภาษา วัฒนธรรม จารีตประเพณี ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คงอยู่ถาวรตามที่มีกฎหมายกำหนดเชื้อชาติและสัญชาติในปัจจุบัน แต่มีความเป็นพลวัต (dynamic) ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตามยุคสมัย ชาติพันธ์ุหนึ่งสามารถเคลื่อนย้ายไปอยู่ในผสมผสานกับชาติพันธุ์อื่น และสามารถถูกกลืนไปได้จนกลายเป็นกลุ่มชนหนึ่ง
-ตัวอย่างเช่น กรุงศรีอยุทธยาไปทำสงครามตีเมืองพระนคร กวาดต้อนชาวขอม-เขมรเข้ามาในดินแดนของตนจำนวนมาก เมื่อคนกลุ่มนั้นตั้งรกรากอยู่นานอาจสามารถผสมกลมกลื่นกับชนพื้นเมืองจนความเป็นขอมนั้นสูญไป
-การถามหาความหมายของ "ขอม" ในแง่ของเชื้อชาติทางพันธุกรรม คงจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะเมื่อยุคสมัยเปลี่ยน ความหมายของ "ขอม" ก็เปลี่ยน ขอมในอดีตกับขอมยุคหลังไม่จำเป็นต้องมีเชื้อชาติเดียวกันหรือเป็นชนกลุ่มเดียวกัน เช่นเดียวกับคนไทย ลาว มอญ เขมร ฯลฯ ในปัจจุบันอาจไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมกับคนในอดีตที่มีชื่อชนชาติเดียวกัน เพราะประชากรมีการผสมผสานและเคลื่อนย้ายไปมาตลอดครับ
-ถ้าเรามองด้วยสายตาคนไตโบราณ ขอม (กรอม กล๋อม) คือคนในลุ่มแม่น้ำโขงไปถึงรัฐฉาน
-ถ้าเรามองด้วยสายตาคนยุคสุโขทัย มอญพม่า ล้านนา ขอม (โกฺรม คฺยวน) คือคนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา สำหรับสุโขทัยน่าจะรวมกลุ่มชนบริเวณทะเลสาบเขมรด้วย
-ถ้าเรามองด้วยสายตาคนกัมพูชายุคพระนคร จะไม่รู้จัก ขอม เพราะพบแต่คำว่า เขมร
-ถ้าเรามองด้วยสายตาคนสมัยอยุทธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ ขอม คือ เขมร
“อาณาจักรขอมโบราณ”..
สมัยพระนครหลวง
"
“อาณาจักรขอมโบราณ”..
สมัยพระนครหลวง
"
“ปราสาทขอม”
“ปราสาทเขมร หรือ ปราสาทขอม”
เป็น
ศาสนสถาน
ใน
ศาสนาพราหมณ์
ที่สร้างขึ้นโดย
อาณาจักรเขมร
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 ในสมัย
พระเจ้าชัยวรมันที่ 2
เป็นต้นมา พบมากใน
ประเทศกัมพูชา
และในเขต
อีสานใต้
ของประเทศไทย ปราสาทขอมก่อสร้างด้วยวัสดุ
อิฐ
หินทราย
และ
ศิลาแลง
ด้วย
ศิลปะเขมร
*
ในประเทศไทยมีปราสาทขอมในที่ราบสูงอีสานทั้งสิ้น 155 แห่ง
ได้แก่ -จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 37 แห่ง
-จังหวัดบุรีรัมย์ " 50 แห่ง
-จังหวัดสุรินทร์มีอยู่จำนวน " 31 แห่ง
-จังหวัดชัยภูมิ " 6 แห่ง
-จังหวัดร้อยเอ็ด " 14 แห่ง
-จังหวัดศรีสะเกษ " 11 แห่ง
-จังหวัดอุบลราชธานีอีก " 6 แห่ง
*ส่วนมากมักถูกทำลายเหลือเพียงบางส่วน
*ประวัติศาสตร์
-จากหลักฐานทางโบราณคดีทำให้ทราบว่าชนชาติเขมรเริ่มรวมตัวเป็นอาณาจักรหรือรัฐ มาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 6 โดยพัฒนามาจากเมืองท่าที่ติดต่อค้าขายกับ
อินเดีย
มีความเจริญภายใต้พื้นฐานของอารยธรรมอินเดีย ใช้ชื่อว่า
อาณาจักรฟูนัน
มีอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นที่ลุ่ม
แม่น้ำโขง
(
เวียดนาม
ตอนใต้)
และ
แม่น้ำโขงตอนใต้ (
กัมพูชา
)
จนถึงบางส่วนในบริเวณของภาคอีสานตอนใต้ของ
ประเทศไทย
โดยมี
เมืองออกแก้ว
(ตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนาม) เป็นเมืองท่าในการติดต่อค้าขาย และมีราชธานีนามว่า
“วยาธปุระ”
ใกล้เขาบาพนมใน
ประเทศกัมพูชา
-อาณาจักรฟูนันมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศทั้งกับอินเดียและ
จีน
หลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ยังดูรางเลือนหาข้อสรุปไม่ได้แน่ชัดนัก ทราบแต่เพียงว่ากษัตริย์องค์สุดท้ายคือ รุทรวรมัน และนับถือศาสนาพราหมณ์ที่ได้รับมาจากอินเดียเป็นหลัก
-พุทธศตวรรษที่ 12
อาณาจักรเจนฬา
ซึ่งแต่เดิมเป็นรัฐหนึ่งของ
อาณาจักรฟูนัน
มีอาณาบริเวณตั้งแต่เมือง
จำปาศักดิ์
-ภูเขาวัดภู
ในปัจจุบันคือบริเวณทางตอนใต้ของประเทศลาว
-และทางภาคเหนือของประเทศกัมพูชา ราชธานีของ
อาณาจักรเจนฬา
คือ เมือง
“เศรษฐปุระ”
อาณาจักรเจนฬามีพื้นฐานอารยธรรมสืบต่อมาจากอาณาจักรฟูนันรวมทั้งการนับถือ
ศาสนาพราหมณ์
ด้วย
-พระเจ้าภววรมัน
ปฐมกษัตริย์ของเจนฬาได้ยึดวยาธปุระจากรุทรวรมัน -ต่อมาพระอนุชาของภววรมันคือ
พระเจ้ามเหนทรวรมันที่ 1
ได้เข้ายึดฟูนันและปราบปรามได้ ทำให้อาณาจักรเจนฬาได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม
-จนล่วงพุทธศตวรรษที่ 13 อาณาจักรเจนฬาได้ถูกกษัตริย์ชวา
จากราชวงศ์ไศเลนทร์แห่งอาณาจักรชวาภาคกลาง
รุกราน จึงทำให้เจนฬาแตกออกเป็น 2 ส่วนคือ เจนฬาบก และ เจนฬาน้ำซึ่งถูกชวายึดครองได้ นอกจากนี้อาณาจักรชวายังได้นำตัวรัชทายาทคือ
เจ้าชาย
ชัยวรมันที่ 2
ไปเป็นตัวประกันที่อาณาจักรชวาอีกด้วย ซึ่งเป็นระบบที่เรียกว่าตัวจำนำเพื่อรับรองความจงรักภักดีของอาณาจักรเขมร
-ต่อมาในปี
พ.ศ. 1350
ชัยวรมันที่ 2
ได้ยกทัพขึ้นมาประกาศเอกราชจากอาณาจักร
ชวา
และยังรวมอาณาจักรเจนฬาบกและเจนฬาน้ำที่แตกแยกเข้าด้วยกัน สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับอาณาจักรเขมรใหม่ และขนานนามใหม่ว่า
เมืองกัมโพชน์ตะวันออก
โดยแยกตัวมาจากอาณาจักรลโวทยหรือละโว้ หรือปัจจุบันเรียกว่า
ลพบุรี
-
พระเจ้าชัยวรมันที่ 2
ทรงตั้งราชธานีของเมืองกัมโพชน์
ในบริเวณทางเหนือของทะเลสาบเขมร
พระองค์ทรงขยายพระราชอำนาจเข้าไปถึงบริเวณลุ่มแม่น้ำบริเวณอีสานใต้ของประเทศไทยใน
จังหวัดนครราชสีมา
ชัยภูมิ
บุรีรัมย์
สุรินทร์
และ
ศรีสะเกษ
-ลัทธิเทวราชาและการก่อสร้างปราสาท
-พระเจ้าชัยวรมันที่ 2
ทรงสถาปนาลัทธิเทวราชา คือยกฐานะกษัตริย์ให้เป็นเทพเจ้าหรือ
เทวาราชา
เป็นกษัตริย์สูงสุด เป็นการปูพื้นฐานระบบเทวราชาให้อาณาจักรอื่นๆเป็นแบบอย่าง รวมถึงสยามซึ่งรับระบบนี้มาใช้ด้วยเช่นกัน ระบบเทวราชานี้มีส่วนทำให้พราหมณ์เข้ามามีบทบาทในราชสำนัก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญศิลปศาสตร์ต่างๆ และประกอบพิธีราชาภิเษกให้กับกษัตริย์
-
ลัทธิเทวราชาหรือระบบเทวราชา
ต่างจาก
ลัทธิไศวนิกายแลไวษณพนิกาย
คือ
"ก่อนหน้านั้นกษัตริย์เป็นเพียงมนุษย์ที่นับถือเทพเจ้า แต่ลัทธิราชานั้นถือว่ากษัตริย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเทพเจ้าคือเทพเจ้าแบ่งภาคลงมาจุติเป็นกษัตริย์นั่นเอง เมื่อกษัตริย์เสวยราชย์แล้วต้องกระทำ 3 สิ่ง คือ
-
ขุดสระชลประทานหรือที่เรียกว่า บาราย
ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขมรมีความยิ่งใหญ่ เพราะเนื่องจากเขมรก็ไม่นิยมตั้งถิ่นฐานใกล้แม่น้ำเท่าใดนัก ที่เมืองพระนครมีบารายขนาดใหญ่หลายบาราย เช่น
บาราย
อินทรฏกะ
-กษัตริย์ต้องสร้างศาสนสถานบนฐานเตี้ยๆ อุทิศถวายบรรพบุรุษ หรือปราสาทสร้างบนฐานเตี้ยๆเพียงชั้นเดียว เช่น
ปราสาทพะโค
ที่พระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับบรรพบุรุษของพระองค์
-ต้องสร้างศาสนสถานบนฐานเป็นชั้น หรือปราสาทแบบยกฐานเป็นชั้นสูงหลายชั้นเพื่อเป็นที่สถิตของเทพเจ้า หากเป็นศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายจะประดิษฐาน
ศิวลึงค์
ของสัญลักษณ์แห่ง
องค์พระอิศวร
-หรือศาสนาพราหมณ์ลัทธิ
ไวษณพนิกาย
ก็จะประดิษฐานเทวรูปพระวิษณุ และมีความเชื่อว่าเมื่อกษัตริย์สิ้นพระชนม์วิญญาณของพระองค์จะไปเสด็จรวมกับเทพเจ้าที่ปราสาทที่พระองค์สร้างไว้นั่นเอง เช่น พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงสร้างปราสาทนครวัด อุทิศถวายแด่องค์
พระวิษณุ
เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ก็มีพระนามว่า บรมพิษณุโลก
-จากเหตุผล 2 ข้อหลังนี้เองที่เป็นประเพณีที่.."
กษัตริย์เขมรทุกพระองค์จะต้องสร้างปราสาทอย่างน้อยที่สุด 2 หลัง"
-ส่วนรูปแบบของปราสาทขอมนั้นก็พัฒนารูปแบบมาจากศาสนสถานใน
ประเทศอินเดีย
ที่เรียกกันว่า
- ศิขร
เป็นศาสนสถานของศิลปะอินเดียในภาคเหนือ
-
วิมาน
เป็นศาสนาสถานของอินเดียภาคใต้
-นอกจากนี้ก็ยังได้รับอิทธิพลของ
จันฑิ
ศาสนาสถานในศิลปะชวาเมื่อครั้งที่อาณาจักรเจนฬาตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรชวา
-ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้จึงก่อให้เกิดรูปแบบงานศิลปกรรมเขมรที่เรียกกันว่า
ปราสาทขอม หรือ ศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์
ที่มีความสวยงามและคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีเป็นอย่างยิ่ง และเนื่องด้วยปราสาทขอมเหล่านี้สร้างด้วยวัสดุที่เป็น
อิฐ
ศิลาทราย
และ
ศิลาแลง
ซึ่งเป็นถาวรวัตถุจึงทำให้มีความคงทนจนถึงในปัจจุบัน
-แต่ว่าปราสาทเขมร ก็มิได้มีเพียงในเขตแดนของ
ประเทศกัมพูชา
เท่านั้น ยังพบในบริเวณของ
ประเทศลาว
และ
ประเทศไทย
ซึ่งมีปราสาทเขมรอยู่มากมายเช่นกัน
-เนื่องจากในบางช่วงที่
อาณาจักรเขมร
มีความเข้มแข็ง ทำให้สามารถขยายอำนาจและดินแดนได้อย่างกว้างขวาง ด้วยเหตุนี้จึงมีปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นในดินแดนของประเทศอื่นๆด้วย
-รูปแบบศิลปะ
ก. สมัยก่อนเมืองพระนคร
1. ศิลปะแบบพนมดา ราว พ.ศ. 1100 – 1150
2. ศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุก ราว พ.ศ. 1150 – 1200
3. ศิลปะแบบไพรกเมง ราว พ.ศ. 1180 – 1250
4. ศิลปะแบบกำพงพระ ราว พ.ศ. 1250 – 1350
ข. สมัยเมืองพระนคร
5. ศิลปะแบบกุเลน ราว พ.ศ. 1370 – 1420
6. ศิลปะแบบพระโค ราว พ.ศ. 1420 – 1440
7. ศิลปะแบบบาแค็ง ราว พ.ศ. 1440 – 1470
8. ศิลปะแบบเกาะแกร์ ราว พ.ศ. 1465 – 1490
9. ศิลปะแบบแปรรูป ราว พ.ศ. 1490 – 1510
10. ศิลปะแบบบันทายสรี ราว พ.ศ. 1510 – 1550
11. ศิลปะแบบคลัง(หรือเกลียง) ราว พ.ศ. 1550 – 1560
12. ศิลปะแบบบาปวน ราว พ.ศ. 1560 – 1630
13. ศิลปะแบบนครวัด ราว พ.ศ. 1650 – 1720
14. ศิลปะแบบบายน ราว พ.ศ. 1720 – 1780
เขียนใน
GotoKnow
โดย
"คนเมืองน้ำดำ"
ใน
รวมสารพัดเรื่องราว และ นานาสาระ
คำสำคัญ (Tags):
#"ขอม"
หมายเลขบันทึก: 709317
เขียนเมื่อ 29 ตุลาคม 2022 23:06 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2022 20:58 น. (
)
สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
หน้าแรก
สมาชิก
"คนเมืองน้ำดำ"
สมุด
รวมสารพัดเรื่องรา...
"ชาวขอม และปราสา...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท