รีวิว The Watcher: ผู้เฝ้าดู (2022 TV series nrtflix)


รีวิว The Watcher: ผู้เฝ้าดู (2022 TV series nrtflix)

#เกริ่นนำ
"ถึงเพื่อนบ้านใหม่ที่ 657 Boulevard ขอกล่าวต้อนรับสู่ย่านของเราอย่างเป็นทางการ ครอบครัวของคุณมาลงเอยที่นี่ได้อย่างไร บ้าน 657 Boulevard ส่งพลังลึกลับไปเรียกมาเหรอ ครอบครัวของเราดูแลบ้าน 657 Boulevard มาหลายสิบปี และใกล้จะมีอายุครบ 100 ปีนี้อีกไม่นาน เรามีหน้าที่เฝ้าดูและรอคอยการกลับมาครั้งที่ 2 ของมัน... พวกคุณรู้ประวัติบ้านหลังนี้หรือไม่ รู้ไหมว่ามีอะไรอยู่ในกำแพงบ้าน 657 Boulevard... พวกคุณคงยังไม่กลัวอะไร แต่แค่ตอนนี้...คุณต้องหล่อเลี้ยงบ้านด้วยเลือดหนุ่มสาว ฉันคือใครนะหรือ..ฉันคือผู้เฝ้าดู"

#รีวิวนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ
#ดูคลิปรีวิวที่นี่
 

#เรื่องย่อ
The Wacter เป็นทีวีซีรีส์ลึกลับสยองขวัญอเมริกันที่สร้างโดย Netflix ฉายในปี 2022 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องจริงของคู่รักที่แต่งงานแล้ว ซื้อบ้านหลังใหญ่ซึ่งเป็นบ้านในฝันของพวกเขาในเวสต์ฟิลด์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ หลังจากย้ายเข้าไปอยู่ได้ไม่นานก็ถูกคุกคามด้วยจุดหมายหลายฉบับที่ลงนามโดย The Watcher ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการคุกคามครอบครัวของพวกเขาดังที่กล่าวไปในข้างต้น ทีมสร้างได้อธิบายว่านี่คือเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น และเป็นคดีความที่ไม่สามารถปิดได้ในปัจจุบัน เนื่องจากไม่สามารถหาตัวของ The Watcher

ซีรีส์ได้เล่าเรื่องราวของครอบครัว บรานอคก์ ที่มีอยู่กัน 4 คน ประกอบด้วย ดีน ผู้นำครอบครัว นอร่า ภรรยานักประติมากร เอลลี่พี่สาววัย 16 กำลังอยากสวย อยากโต และอยากลอง และคาร์เตอร์น้องเล็กวัยกำลังข่างสงสัย พวกเขาทั้ง 4 คนนั้นรักกันดี พวกเขาย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ เป็นบ้านที่ใคร ๆ ก็ต่างแย่งที่จะเป็นเจ้าของ

นอกจากการถูกจดหมายคุกคามแล้ว พวกเขายังต้องเจอเพื่อนบ้านที่มีพฤติกรรมสุดแสนประหลาด ที่คอยจับตาจ้องมองพวกเขาทุกวี่วัน เช่นชายมีอายุแต่มีความบกพร่องสติปัญญา ชอบแอบเข้ามาในบ้านเล่นลิฟท์ส่งอาหาร ชายวัยชราคนหนึ่งที่ชอบนำหนังสือพิมพ์เข้ามาให้ถึงในบ้าน ครอบครัวคุณปู่คุณย่าวัยชราที่เข้ามาจุ้นจ้านในบ้าน และหญิงชราคนหนึ่งที่เจ้ากี้เจ้าการเรื่องการตกแต่งบ้าน ทั้งหมดสร้างความวุ่นวายให้กับครอบครัว บรานอคก์ เป็นอย่างมาก

แต่นั่นมันก็ไม่ให้ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นอันตรายนัก จนเมื่อจดหมายปริศนาเขียนมาคุกคามบ่อยครั้ง ดีนจึงจำเป็นจะต้องจ้างบริษัทติดตั้งสัญญาณกันขโมยและกล้องวีดีโอเอาไว้รอบบ้าน แต่ก็จะไม่ได้รู้สักทีว่าใครคือผู้เฝ้าดูที่คอยเขียนจดหมายคุกคามกันแน่ และแม้แต่ตำรวจเองก็ยังช่วยครอบครัวนี้ไม่ได้

ครอบครัวบรานอคก์ แต่ละคนเริ่มสติแตก โดยเฉพาะดีน ในขณะนี้ก็จะกู้เงินมาตกแต่งบ้านเพิ่ม ทำห้องใต้ดิน ตกแต่งห้องครัว และเนื่องจากความไม่ปลอดภัย นอร่า แอลลี่ และคาร์เตอร์ จึงจำเป็นจะต้องย้ายไปอยู่ในโรงแรมชั่วคราว

ขณะเดียวกันนายหน้าขายบ้านสาวเพื่อนของนอร่าก็มักจะยุให้ขายบ้านทิ้งเพื่อตัดปัญหา แม่้จะได้ราคาต่ำกว่าครั้งที่ซื้อก็ตาม เสียเงินดีกว่าเสียสุขภาพจิต หรือเสียคนที่รักไป

ส่วนตัวของแดนก็พยายามสืบหาบุคคลปริศนาที่คุกคามครอบครัวของเขา เริ่มจากการจ้างนักสืบให้เข้ามาช่วยสืบหาเรื่องราวทั้งหมด สืบหาเจ้าของบ้านเก่าที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ เขาไม่ยอมเสียบ้าน 657 Boulevard

เขาพบกับเจ้าของบ้านหลายคนซึ่งแต่ละคนนั้นก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ไม่นาน แล้วก็มีเหตุต้องขายทิ้งไป บางคนเล่าว่าบ้านทำให้เครียดจึงจำเป็นต้องก่อคดีฆาตกรรมฆ่าภรรยาและลูกของเขาที่บ้านหลังนั้น

เจ้าของบ้านเก่าบางคนบอกว่าเพื่อนบ้านมีพฤติกรรมที่แปลกประหลาดชอบแอบย่องเข้ามาในบ้านแล้วประกอบพิธีกรรมเลือดบูชาซาตานเป็นต้น

ทั้งหมดทั้งมวลส่งผลให้ดีนจะเป็นโรคประสาทวิตกจริต แต่เนื่องจากการกู้หนี้ยืมสินและทุ่มเงินทั้งหมดให้กับบ้านหลังนี้ เขาจึงจำเป็นจะต้องสู้เพื่อให้อยู่บ้านหลังนี้ให้ได้อย่างมีความสุข

แต่ยิ่งยื้อยิ่งสืบก็ยิ่งมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหากับคนในครอบครัว ปัญหากับเพื่อน ปัญหากับที่ทำงาน และปัญหากับบุคคลปริศนาที่อ้างว่าเป็นผู้เฝ้ามอง

ดีนและครอบครัวจะจัดการกับบ้านในฝันของเขาอย่างไร และตามหาตัว The Wacther ได้หรือไม่ ขอให้ทุกท่านไปติดตามรับชมต่อได้ทาง Netflix เลยนะครับ

#ความรู้สึกหลังดู
ก่อนอื่นเลยที่ดูจากหน้าหนังแบบไม่ได้สืบค้นหาข้อมูลอะไรเลย ก็คิดไปว่า The Wacther อาจจะเป็นแนวหนังผีสยองขวัญเหมือนกับ The Hunting Of The Hill House ประมาณนั้น หรือ เป็นบ้านที่เคยเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมและมีอาถรรพ์ในบ้านอย่างหนังเรื่อง The Conjuring ภาค 1 หรือ The Amityville Horror ที่นำมาจากเรื่องจริงกับบ้านผีสิงใน Amityville, Long Island ซะอีก แต่ไม่ใช่เลย The Wacther ห่างไกลคำว่าสยองขวัญมาก และดูเหมือนว่าแม้จะโปรโมทเป็นหนังแนวระทึกขวัญ แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าก็ยังห่างไกลคำว่าระลึกขวัญไปอีกมากเช่นกัน

แต่ซีรีส์ก็ยังหลอนแบบแปลก ๆ ที่ไม่ได้เกิดจากผี แต่เกิดจากคนที่เราก็ไม่รู้ว่าใครกำลังคุกคาม และยังมอบความระทึกขวัญให้กับเราได้บ้างในแบบที่ไม่มีใครทำร้ายใคร ต้องยอมรับว่าทีมสร้างเขาเล่นสิ่งเหล่านี้กับความรู้สึกเราได้ดีไม่น้อย

และโดยส่วนตัวอีกเช่นกันรู้สึกว่าวิธีการเล่าเรื่องทั้งหมด โดยเฉพาะการสืบหาตัวตนของ The Wacther ไม่ว่าจะเป็นทางตำรวจ นักสืบ เจ้าของบ้านในอดีต และแดนเจ้าของบ้านปัจจุบัน ก็ควรยกให้ The Wacther เป็นซีรีส์แนวรหัสคดีมากกว่า เขาใส่วิธีการสืบหาเรื่องราวเข้ามาได้ดีตามหลักการสืบสวนสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นการสืบจากลายมือ การสืบหาจาก DNA การสืบหาจากการเทียบเคียงเรื่องราว การสืบหาจากการสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องสิ่งนี้ทำให้ The Wacther เป็นซีรีส์แนวสืบสวนชัด ๆ

ก็เผลอคิดไปว่า ควรจะให้ แอร์กูล ปัวโร จาก Date On The Nine หรือจะให้ เบอนัวต์ บลองก์ จาก Knives Out ก็น่าจะสนุกขึ้นอีกหลายเท่า แต่ก็อย่างว่า คดี The Wacther สร้างมาจากเรื่องจริง 2 ตัวละครนักสืบผู้ยิ่งใหญ่จาก 2 เรื่องนี้จึงไม่สามารถเข้ามาสืบเรื่องได้

เมื่อซีรีส์ดำเนินในรูปแบบของแนวรหัสคดีสืบสวนสอบ แทนที่เราจะได้อิ่มเอมกับวิธีการสืบสวนสอบสวนไปเรื่อย ๆ ไขปริศนาไปเรื่อยๆ จากคำตอบหนึ่งไปสู่อีกคำถามหนึ่ง แต่ก็มีน้อยเกินไป ซีรี่ส์กลับไปเล่นเรื่องราวของครอบครัวซะมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของสองสามีภรรยาที่ไม่ทำการบ้าน สามีที่ต้องปากกัดตีนถีบสู้ทุกอย่างเพื่อรักษาบ้านเอาไว้จนทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกับภรรยา ปัญหาลูกสาววัยกำลังโตซึ่งกำลังอยากรู้อยากลองโดยเฉพาะเรื่องเพศ ทั้งหมดทั้งมวลมันทำให้สถานการณ์ของครอบครัวบรานอคก์เข้าขั้นวิกฤติ ราวกลับบ้านว่าบ้านหลังนี้มันมีอาถรรพ์ทำให้คนแตกแยกนั่นแหละ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นทางสืบสวนสอบสวนหรือสะท้อนปัญหาครอบครัว ซีรีส์เข้าไปได้ไม่สุดซักทาง มันครึ่ง ๆ กลาง ๆ แทงกั๊กเกินไป

แต่อย่างน้อยเขาก็มีการหักมุมเล็ก ๆ เกี่ยวกับการสืบหาตัวของ The Wacther ที่พลิกแพลงไปมาจากคนหนึ่งสู่คนหนึ่ง ก็ทำให้เราคิดตามไปได้เรื่อย ๆ ทั้งหมดทั้งมวลก็นำไปสู่บทสรุปที่ว่าถึงในปัจจุบันก็ยังไม่มีการปิดคดีนี้ได้ ดังนั้นเราในฐานะคนอยู่ก็ได้แต่ตั้งคำถามว่าใครกันแน่คือผู้เฝ้าดู น่าจะเป็นคนนั้น หนืออาจจะเป็นคนนี้เท่านั้นเอง ดังนั้นหนังจึงไม่ได้สรุปอะไรเกี่ยวคนปริศนาให้กับเราเลย

ส่วนอุปสรรคต่าง ๆ ที่เขาใส่เข้ามาในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของลูกสาวที่รักกับเด็กหนุ่มอายุ 19 ที่ดูแลรักษาความปลอดภัยของบ้าน ปัญหาเรื่องการจัดฉากให้แดน เจอกับหญิงสาวคนหนึ่งที่เข้ามาในห้องนอนของเขาปัญหาหนี้สินพะรุงพะรัง ปัญหาความรักของสองสามีภรรยาแดนกับนอร่า  ทุกอย่างมันฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ง่ายดายเกินไป ไม่มีจุดไหนให้เราลุ้นและเอาใจช่วยเลย มันจึงทำให้เรารู้สึกว่าระยะเวลาของซีรีส์แม้จะมีเพียงแค่ 7 ตอนตอนละประมาณ 1 ชั่วโมง มันค่อนข้างยืดยาวเกินไป หากซีรีส์จะเล่นแค่ประเด็นที่พูดไปนี้ผมมองว่าเขาตัดให้เหลือเพียงแค่ 4 ตอน ตอนละ 1 ชั่วโมงก็น่าจะเหมาะสม

แต่หากถามความรู้สึกโดยรวมหลังจากดูซีรีส์เรื่องนี้แล้ว ก็อยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าสนุกพอสมควร ดึงความสนใจใคร่รู้ได้พอสมควร และทำให้เราติดตามได้พอสมควร ไม่ได้เลวร้ายอะไรและไม่เสียเวลาที่จะดูเลย เพราะจังหวะที่เขา “บิ้ว” ความน่าสงใสใส่เขาไปในตัวละครก็ทำได้ดี โดยเฉพาะตัวละครแวดล้อมนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน อดีตเจ้าของบ้าน ครูเกษียณที่หลงไหลสถาปัยกรรมเก่า นักสืบ นายหน้าขายบ้าน ผู้ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยของบ้าน หรือแม้แต่ตำรวจ ทุกคนล้วนแต่ทำให้เราสงสัยว่าใครกันแน่คือผู้เฝ้าดู ทางผู้กำกับและคนเขียนบทก็ได้หยอดความน่าสงสัยใส่ตัวละครเหล่านี้มาเต็ม ๆ ซึ่งแต่ละตัวละครนั้นก็น่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้เฝ้าดูได้ทั้งหมด

ส่วนตัวแล้วมองว่าหาก Netflix นำคดี The Watch นำมาถ่ายทอดในรูปแบบสารคดีอาชญากรรม ผมว่าน่าจะสนุกมากกว่าทำเป็นซีรีส์เยอะเลย

ในด้านคำว่าจารณ์นั้น The Watch  ได้คะแนนจาก Rotten Tometoes คะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์ให้เพียงแค่ 38% และคะแนนจากฝั่งคนดูได้เพียง 46% ส่วนใน IMDB กลับได้คะแนนความชอบที่ค่อนข้างสูงคือ 6.9/10  นี่อาจจะบอกได้ว่า คนดูโดยทั่วไปค่อนข้างชอบซีรีส์เรื่องนี้

#สาส์นสำคัญและบทสรุป
ท้ายที่สุดแล้วเราก็ต้องมามองสาส์นสำคัญของซีรีส์ที่ต้องการจะสื่อให้กับเราคนดูเป็นหลักด้วย ประมาณว่าดูหนังดูละครแล้วย้อนกลับมาดูตัวนั่นแหละ ซึ่ง The Watch ก็ได้ส่งสาส์นสำคัญเช่น การจะทำอะไรต้องมีสติ อย่าให้อารมณ์ ความโกรธ และการเอาชนะมาอยู่เหนือเหตุผล ซึ่งมันจะทำให้เหตุการณ์หรือสถานการณ์นั้นเลวร้ายลงไป อย่างเช่นที่ดีนควบคุมลูกสาวโดยไม่ยอมเข้าใจวัยรุ่น ใช้แต่อำนาจของพ่อเหนือลูกจนเกิดเรื่องเกิดราวใหญ่โต ส่วนตัวลูกสาวก็ตอบโต้พ่ออย่างขาดสติ โดยการใช้สื่อ Social Media จนทำให้พ่อตกที่นั่งลำบาก อย่าทำอะไรเกินตัว ประมาณว่าอย่าขี่ช้างจับตั๊กแตน หรือนกน้อยทำรังแต่พอตัว มีเงินมีทองมีความสามารถเท่าไหร่ก็ทำแค่นั้น อย่าเกินหลือบ่ากว่าแรง หรือต้องกู้หนี้ยืมสินหรือเอาเงินในอนาคตมาใช้ และทุ่มให้กับมันไปทั้งหมด หากมันไม่สมหวัง มันไม่ใช่แค่ไม่เหลืออะไรเลย แต่มันจะทำให้ชีวิตลงเหวเป็นหนี้หัวโตซะเปล่า ๆ  และที่สำคัญที่สุดคือการปล่อยวาง ลดความอยากรู้อยากเห็นลงบ้าง และการลดอัตตาของตัวเองลงเพื่อทำให้ความสัมพันธ์ไม่ว่าจะความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์ในเพื่อนมันดีมากขึ้นนั่นเอง

และท้ายที่สุดจริง ๆ ซีรีส์ The Watcher ก็พยายามบอกกับเราว่า " ครอบครัวที่ดี ที่รักและเข้าใจกัน คือบ้านที่ดีที่สุดของเรานั่นเอง"

7/10 
@วาทิน ศานติ์ สันติ

#SuperReviewChannel
#TheWatcher #TheWatcher2022
#TheWatcherNetflix 
#ผู้เฝ้าดู
#ANetflixSeries

หมายเลขบันทึก: 708779เขียนเมื่อ 17 ตุลาคม 2022 15:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 ตุลาคม 2022 00:19 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท