เข้าระบบ
สมัครสมาชิก
หน้าแรก
สมาชิก
"คนเมืองน้ำดำ"
สมุด
รวมสารพัดเรื่องรา...
"เพลงเพื่อชีวิต"
"คนเมืองน้ำดำ"
นาย ทรงศักดิ์ ภูเก้าแก้ว
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
"เพลงเพื่อชีวิต"
“เพลงเพื่อชีวิต”…มีลักษณะอย่างไร ?
*เพลงเพื่อชีวิต"
แต่แรกเริ่มหมายถึงเพลงที่มีเนื้อหากล่าวถึงชีวิตของคน โดยเฉพาะคนชนชั้นล่าง กล่าวถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิต การถูกเอารัดเอาเปรียบ เพลงในแนวเพื่อชีวิตในยุคนี้โดยมากจะเป็น
เพลงลูกทุ่ง
เช่น เพลง
กลิ่นโคลนสาบควาย
ของ
ชาญ เย็นแข
,
จักรยานคนจน
ของ
ยอดรัก สลักใจ
,
น้ำมันแพง
ของ
สรวง สันติ
,
น้ำตาอีสาน
แต่งโดย
ชลธี ธารทอง
และขับร้องโดย
สายัณห์ สัญญา
เป็นต้น
เพลงเพื่อชีวิตใน
ประเทศไทย
เริ่มเฟื่องฟูเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางโดยแพร่หลายช่วงหลัง
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม
พ.ศ. 2516
โดยเนื้อหาของเพลงไม่จำกัดเฉพาะชีวิตของคนชั้นล่างอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเรียกร้อง
ประชาธิปไตย
และการเหน็บแนม
การเมือง
อีกด้วย และแนวดนตรีได้เปิดกว้างขึ้นเป็นแนว
อคูสสติก
หรือ
ร็อก
โดยได้รับอิทธิพลและแรงบันดาลใจจากศิลปินต่างประเทศ เช่น
บ็อบ ดิลลัน
,
บ็อบ มาร์เลย์
,
นีล ยัง
,
ไซมอน แอนด์ การ์ฟังเกล
เป็นต้น เทียบได้กับ เพลงประท้วง (Protest song) ของสหรัฐอเมริกา โดยคำว่า "เพลงเพื่อชีวิต" นั้น มาจากคำว่าศิลปะเพื่อชีวิต หรือวรรณกรรมเพื่อชีวิต ซึ่งเป็นวรรณกรรมที่ว่าถึงชีวิตและการต่อสู้ของมนุษย์ในสังคม ในยุคนี้เพลงเพื่อชีวิตเฟื่องฟูมาก จนอาจกล่าวได้ว่าเป็น “เพชรเม็ดงามของวรรณกรรมเพื่อชีวิต”
เพลงเพื่อชีวิตมักจะรวมเอาองค์ประกอบของดนตรีตะวันตกเหมือนกันเช่นเพลงบัลลาด และเพิ่มเป็นจังหวะของดนตรีไทย เช่น สามช่า
หมอลำ
และ
ลูกทุ่ง
และมีองค์ประกอบของดนตรีคลาสสิกไทยบ้างเช่นกัน เพลงเพื่อชีวิตในยุคแรกจะเป็นดนตรีโฟล์กตะวันตกพร้อมกับการใช้เครื่องดนตรีอคูสติก ซึ่งต่อมาได้เพิ่มดนตรี
ร็อก
พร้อมกับกีตาร์ไฟฟ้า เบส และกลองชุด บางศิลปินยังได้รับอิทธิพลของ
เร้กเก้
สกา
และเพลง
ละติน
บ้างและบางศิลปินยังใช้เครื่องดนตรีไทยเซ่น
พิณ
ขลุ่ย
และ
ซออู้
โดยวงดนตรีเพื่อชีวิตที่มีชื่อเสียง ได้แก่
คาราวาน
,
แฮมเมอร์
, โคมฉาย เป็นต้น ความนิยมในเพลงเพื่อชีวิตไม่ได้เป็นเพียงกระแสในห้วงเวลานั้น หากแต่ยังได้รับความนิยมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีวงดนตรีและนักร้องเพลงเพื่อชีวิตที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน เช่น
คาราบาว
,
พงษ์สิทธิ์ คำภีร์
,
พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
,
อินโดจีน
,
คนด่านเกวียน
,
ศุ บุญเลี้ยง
,
ฤทธิพร อินสว่าง
,
โฮป
,
ซูซู
, ตีฆอลาซู เป็นต้น อีกทั้งยังมีศิลปินบางคนหรือบางกลุ่มที่ไม่ได้เป็นเพื่อชีวิตอย่างเต็มตัว แต่เนื้อหาของเพลงหลายเพลงมีเนื้อหาที่คล้ายคลึงกับเพื่อชีวิตหรือจัดให้อยู่ประเภทเพื่อชีวิตได้ เช่น
จรัล มโนเพ็ชร
, เสกสรร ทองวัฒนา,
ธนพล อินทฤทธิ์
,
หนู มิเตอร์
,
นิค นิรนาม
,
พลพล พลกองเส็ง
,
กะท้อน
,
สิบล้อ
,
สลา คุณวุฒิ
เป็นต้น
*จุดกำเนิด
แต่เริ่มเดิมทีในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ยังไม่มีการบัญญัติคำว่า “เพลงเพื่อชีวิต”แยกออกมาจากเพลงไทยสากลอย่างชัดเจนนัก โดยในยุคนั้น
ครู
นารถ ถาวรบุตร
บรมครูนักแต่งเพลงได้แบ่งเพลงไทยออกเป็น 3 ประเภท ตามเนื้อหาของเพลง ได้แก่ กลุ่มเพลงปลุกใจให้รักชาติ รักความเป็นไทย กลุ่มเพลงรัก หรือที่เรียกว่า เพลงประโลมโลกย์ กลุ่มเพลงชีวิต ที่หยิบยกเอารายละเอียดชีวิตของคนในอาชีพต่างๆ โดยเฉพาะชนชั้นล่างที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก มาบอกเล่าผ่านคำร้องที่เรียบง่ายและกินใจ ซึ่งกลุ่มเพลงชีวิตนั้นก็ได้กลายมาเป็นรากฐานให้กับ
เพลงลูกทุ่ง
และเพื่อชีวิตในเวลาต่อมา แนวดนตรีเพื่อชีวิตถูกแยกออกมาอย่างชัดเจนในปีพ.ศ. 2516 หลัง
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม
นำโดย
แสงนภา บุญราศรี
โดยเนื้อหานั้นนอกจากจะกล่าวถึงชีวิตที่ลำบากยากเข็ญของประชนหาเช้ากินค่ำแล้ว ยังมีการเพิ่มเนื้อหาเสียดสี ยั่วล้อสังคม รวมไปถึงการโกงกินของผู้แทนและนักการเมืองอีกด้วย แหล่งกำเนิดของเพลงเพื่อชีวิตสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ แหล่งกำเนิดทางรูปแบบ คือ ดนตรี
โฟล์ค
ตะวันตก
ร็อค
เพลงลูกทุ่ง
ดนตรีพื้นเมืองไทย
คันทรี
แหล่งกำเนิดทางวัฒนธรรม คือ หลัง
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516
โดยเครื่องดนตรีหลักๆจะมี
นักร้อง
กีตาร์
กีตาร์เบส
กลองชุด
และอาจมีเครื่องดนตรีอื่นๆเพิ่มเติมขึ้นมาเช่น
คีย์บอร์ด
ฮาร์โมนิก้า
เพอร์คัชชัน
ไวโอลิน
เปียโน
และ
เครื่องดนตรีไทย
เป็นต้น
* ที่มาของคำว่าเพลงเพื่อชีวิต
เพลงเพื่อชีวิตคือประวัติศาสตร์ในทุกช่วงเวลาที่ต่างกัน ซึ่งความหมายของคำว่าเพลงเพื่อชีวิตเองก็แตกต่างกันไปในแต่ละยุค แต่กระนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งแกนแห่งการสร้างสรรค์ซึ่งมีเนื้อเพลงที่โดดเด่นในรูปแบบที่เรียบง่ายฟังสบาย โดยก่อนที่จะมาเป็นคำว่าเพลงเพื่อชีวิตนั้น เพลงเหล่านี้ถูกเรียกว่า
“เพลงชีวิต”
มาก่อน จากนั้นจึงได้มีการบัญญัติชื่อใหม่ในปีพ.ศ. 2480 ซึ่งหมายถึง
“เพื่อชีวิตที่ดีกว่าของประชาชน”
จนกระทั่งเข้าสู่ทศวรรษ 2500 เพลงเพื่อชีวิตซบเซาจนถึงขีดสุด ต่อมานักเขียนนาม
จิตร ภูมิศักดิ์
ก็ได้ให้กำเนิดเพลงเพื่อชีวิตอีกแนวหนึ่งภายในกำแพงคุกในฐานะของนักโทษทางการเมืองและได้กลายมาเป็นต้นแบบของเพลงเพื่อชีวิต ภายใต้แนวคิดเรื่อง
“ศิลปะเพื่อชีวิต”
ซึ่งกลายมาเป็นแรงบันดาลใจในยุคต่อๆมา และในช่วงปี พ.ศ. 2516 เพลงเพื่อชีวิตก็แบ่งตัวออกมาเป็นเอกเทศอย่างชัดเจน จึงกล่าวได้ว่าเพลงเพื่อชีวิตคือเพชรเม็ดงามทางด้านวัฒนธรรมอันเกิดจาก
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม
พ.ศ. 2516 นั่นเอง
*เพลงเพื่อชีวิตในยุคก่อน 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516
เส้นทางของเพลงเพื่อชีวิตนั้น ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ก่อน
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม
พ.ศ. 2516 ซึ่งเป็นยุคแห่งการสั่งสมความกดดันของการเมืองไทยภายใต้ระบบเผด็จการของ จอมพลถนอม จอมพล
สฤษดิ์
และ จอมพล
ประภาส
สิทธิเสรีภาพของประชนถูกจำกัด เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจตามมา และผู้ที่ก้าวเข้ามามีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์ของเพลงเพื่อชีวิตก็คือ
แสงนภา บุญราศรี
อดีตราชาละครร้องในยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง ช่วงปีพ.ศ. 2475 เขาได้บุกเบิกการแต่ง
เพลงไทยสากล
ที่สะท้อนชีวิตชนชั้นล่างของสังคมเป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 2480 โดยเรียกว่าเป็น "เพลงชีวิต” อาทิ เช่น
คนปาดตาล
คนลากขยะ
และอื่นๆ ต่อมาในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2490 เรื่องราวการซื้อเสียงของ ส.ส. และการคอร์รัปชั่นโกงกินกระทั่งจอบและเสียมของเสนาบดีผู้ฉ้อฉลก็ได้ปรากฏขึ้นในเนื้อหาเพลง “
เป๊ะเจี๊ยะ
” และ “
พรานกระแช่
” แต่เนื้อหาของเพลงยังไม่ได้เสียดสีนักการเมืองไทยอย่างตรงไปตรงมานัก ทำให้ผู้คนยอมรับเพลง “
มนต์การเมือง
” ที่
ครูสุเทพ โชคสกุล
ประพันธ์ให้
คำรณ สัมบุณณานนท์
ขับร้อง ในราวปีพ.ศ. 2490 เป็นเพลงเสียดสีนักการเมืองไทยอย่างตรงไปตรงมาเป็นเพลงแรกเสียมากกว่า ไม่เพียงขับร้องและประพันธ์เพลงเองเท่านั้น แสงนภา บุญราศรี ยังนำเอาประสบการณ์จากการที่เคยเป็นนักแสดงมาใช้ประกอบกับบทเพลงอีกด้วย เช่น เมื่อร้องเพลงคนปาดตาลก็จะแต่งกายชุดคนปาดตาลอย่างสมจริงสมจัง หรือเมื่อร้องเพลงคนลากขยะก็จะนำรถขยะขึ้นมาประกอบการแสดงบนเวที ซึ่งกลายมาเป็นต้นแบบให้กับศิลปินรุ่นหลังเช่น
เสน่ห์ โกมารชุน
และ
คำรณ สัมบุณณานนท์
เป็นต้น
เพลงเพื่อชีวิตในยุค 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม
พ.ศ. 2516 เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ การเรียกร้องประชาธิปไตยของมวลชนนักศึกษาและประชาชน เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ส่งผลให้เพลงเพื่อชีวิตพัฒนาขึ้นมาอย่างถึงขีดสุด โดยหลังจากที่นาย
จิตร ภูมิศักดิ์
ผู้ถูกคุมขังในฐานะนักโทษทางการเมืองได้เผยแพร่ผลงานของเขาแล้ว คนก็เริ่มเขียนกลอน กวี ภายใต้อุดมการณ์ของ
จิตร ภูมิศักดิ์
ทำให้เพลงเพื่อชีวิตในรูปแบบของปัญญาชนถือกำเนิดขึ้น อีกทั้งกวีของเขาต่อมาได้ถูกนำไปใส่ทำนอง ได้แก่
แสงดาวแห่งศรัทธา
และ
เปิบข้าว
เป็นต้น
จากเหตุการณ์ทุ่งใหญ่ที่
จังหวัดกาญจนบุรี
ที่มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่พาดาราสาวไปเที่ยวป่าล่าสัตว์ในป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและเกิดเหตุเครื่องบินตก เป็นผลให้พบซากสัตว์ป่าที่ถูกล่ามากมายนั้น สื่อมวลชนและนักศึกษาได้นำเหตุการณ์ดังกล่าวไปเผยแพร่และได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก ส่งผลกระทบถึงภาพลักษณ์ของรัฐบาล จากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้มีนักศึกษา
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
กลุ่มหนึ่งออกหนังสือในนาม
ชมรมคนรุ่นใหม่
ชื่อว่า มหาวิทยาลัยยังไม่มีคำตอบ ตีพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับปัญหาการต่ออายุราชการของจอมพล
ประภาส จารุเสถียร
ที่กล่าวว่าสถานการณ์ต่างประเทศไม่น่าไว้วางใจ หนังสือดังกล่าวมีถ้อยคำเสียดสี สภาสัตว์ป่าแห่งทุ่งใหญ่มีมติให้ต่ออายุสัตว์ป่าอีกหนึ่งปี จากการกระทำนี้ ส่งผลให้นักศึกษาทั้ง 15 คนถูกตั้งกรรมการสอบสวน และ9 คน ถูกลบชื่อออกจากมหาวิทยาลัย นักศึกษาและประชาชานจึงรวมตัวกันประท้วงที่บริเวณ
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
นับเป็นครั้งแรกที่มีการชุมนุมประท้วงข้ามวันข้ามคืน
ในยุคนั้นได้ให้กำเนิดศิลปินเพลงเพื่อชีวิตขึ้นมาอย่างมากมายผ่านเวทีทางการเมือง มีการแต่งบทเพลง
สู้ไม่ถอย
โดย
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
และได้รับการยอมรับว่าเป็นเพลงเพื่อชีวิตเพลงแรก ลักษณะเป็น
เพลงมาร์ช
ที่ปลุกเร้าสร้างขวัญกำลังใจให้ประชาชนที่มาชุมนุม นอกจากนี้ยังมีศิลปินเพลงเพื่อชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ ถือกำเนิดบทบาทขึ้นมา นั่นก็คือ
สุรชัย จันทิมาธร
หรือ
หงา คาราวาน
เขาเป็นผู้ที่อยู่ร่วมในการประท้วง คอยแต่งบทกลอนต่างๆให้โฆษกบนเวทีอ่านเพื่อปลุกเร้ากำลังใจและรวบรวมความคิดให้เป็นหนึ่งเดียว เขาได้แต่งเพลง
สานสีทอง
โดยนำทำนองมาจากเพลง
Find The Cost Of Freedom
ของวง
Crosby Still Nash & Young
เพลงนี้เกิดขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกันกับเพลงสู้ไม่ถอย ทำให้เพลงเพื่อชีวิตกลายเป็นบทเพลงทางวัฒนธรรมที่ขับขานเพื่อเล่าเรื่องราวของสังคมในสมัยนั้น ทั้งยังให้กำเนิดวงดนตรีเพื่อชีวิตวงแรกที่สร้างความประทับใจให้แก่คนรุ่นนั้นเป็นอย่างมาก คือวง
คาราวาน
สุรชัย จันทิมาธร
นามปากกา
ท.เสน
กับ
วีรศักดิ์ สุนทรศรี
นามปากกา
สัญจร
ได้ก่อตั้งวงดนตรี ท.เสนและสัญจร ขึ้น เพื่อร่วมแสดงดนตรีในการชุมนุมประท้วง บทเพลงของพวกเขาได้นำเอาพื้นฐานดนตรีตะวันตกที่มีเครื่องดนตรี
อคูสติก
เช่น
กีตาร์
ฮาร์โมนิกา และเครื่องดนตรีเคาะจังหวะ ตามสไตล์ของ Bob Dylan ศิลปิน
อเมริกัน
ที่โด่งดังอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน มาประยุกต์เข้ากับเนื้อร้องภาษาไทยและได้ครองใจประชาชนทั้งผู้ใหญ่และวัยรุ่นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังวงอื่นๆ เช่น
คุรุชน
,
กงล้อ
,
รวมฆ้อน
และ
โคมฉาย
ที่ใช้รูปแบบดนตรีเดียวกัน มีกลุ่มอื่นที่ใช้เครื่องดนตรีไฟฟ้า เพื่อปลุกเร้าให้เกิดความคึกคัก เช่น
วงกรรมาชน
,
วงรุ่งอรุณ
และ
วงไดอะเล็คติค
และกลุ่มที่มีท่วงทำนอง
เพลงไทยเดิม
และพื้นบ้าน ใช้
เครื่องดนตรีไทย
เช่น
วงต้นกล้า
มี
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
เป็นสมาชิกรุ่นที่หนึ่ง
วงลูกทุ่งสัจธรรม
และวงอื่นๆอีกมากมายเกิดขึ้นมา ในการแสดงของ ท.เสน และสัญจรจะมีการบันทึกแถบเสียงทุกครั้งเพื่อใช้ไว้เผยแพร่ในโอกาสต่างๆทำให้บทเพลงของพวกเขาเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง หลังจากนั้น ท.เสนและสัญจรได้มีโอกาสรู้จักกับวงดนตรีบังคลาเทศแบนด์ ที่มี
ทองกราน ทานา
และ
มงคล อุทก
มงคล อุทก
และได้รวมตัวขึ้นเป็นวงดนตรี
คาราวาน
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายตัวของดนตรีเพื่อชีวิต ด้วยผลงานและความสามารถของพวกเขาทำให้บทเพลงเพื่อชีวิตสามารถเปิดการแสดงร่วมกับวงดนตรีในเชิงธุรกิจได้ ไม่ว่าจะเป็นผลงานแผ่นเสียง แถบบันทึกเสียง หรือเปิดการแสดงตามโรง
ภาพยนตร์
ได้
หลังจาก
เหตุการณ์ 14 ตุลา
ผ่านพ้นไป นาย
สัญญา ธรรมศักดิ์
รัฐบาลพลเรือนที่สนับสนุนบทบาทของนักศึกษาในเรื่องประชาธิปไตย ให้เสรีกับประชาชนอย่างเต็มที่ มีการจัดนิทรรศการจีนแดง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการชี้นำลัทธิ
คอมมิวนิสต์
มีกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ลัทธิของมาร์กซ-เลนิน นำเสนอประเด็น
ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน
และอื่นๆ เปิดเผยสู่สายตาสาธารณชนอย่างกว้างขวาง เรื่องราวเกี่ยวกับผู้นำความคิดทางการเมืองซึ่งเป็นบุคคลต้องห้ามในอดีต เช่น
จิตร ภูมิศักดิ์
,
กุหลาบ สายประดิษฐ์
และคนอื่นๆก็ได้รับการกล่าวถึง และแตกหน่อเป็นความคิดใหม่ๆเกี่ยวกับสังคมไทยเช่นกัน โดยเผยแพร่ออกมาในรูปแบบคล้างกับเพลงเพื่อชีวิตที่ประท้วง
สงครามเวียตนาม
ใน
สหรัฐอเมริกา
ช่วงปี พ.ศ. 2517-2519 เป็นช่วงที่เพลงเพื่อชีวิตได้รับความนิยมถึงขีดสุดในแวดวงนักศึกษาและปัญญาชน เพลงเพื่อชีวิตในยุคนั้นมีมากกว่า 2000 เพลง เนื้อหาทั้งหมดครอบคลุมกิจกรรมที่นักศึกษาปัญญาชนเข้าไปเกี่ยวข้อง คาบเกี่ยวระหว่างการสะท้อนปัญหาบ้านเมืองกับการแสดงออกซึ่งอุดมคติในการสร้างสรรค์สังคมใหม่ ผ่าน
วรรณกรรม
ภาพยนตร์
และ
บทเพลง
ซึงเพลงเพื่อชีวิตเองก็มีบทบาทที่สำคัญในการบ่มเพาะความคิดความอ่านเกี่ยวกับตนเองและสังคมส่วนรวมให้กับหนุ่มสาวในยุคสมัยนั้น
จนกระทั่งถึง
เหตุการณ์ 6 ตุลาคม
พ.ศ. 2519 มีการปราบปรามนิสิตนักศึกษาครั้งใหญ่ที่
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นิสิตนักศึกษาบางส่วนจึงได้หลบหนีเข้าป่าเพื่อร่วมงานกับ
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ไป
*เพลงเพื่อชีวิตยุคปฏิวัติ
สืบเนื่องจาก
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม
พ.ศ. 2516 และ
6 ตุลาคม
พ.ศ. 2519 ภายหลังจากเหตุการณ์นั้น ประชาธิปไตยก็ได้สิ้นสุดลง สังคมไทยกลับเข้าสู่การเป็นสังคมเผด็จการณ์อีกครั้ง กิจกรรมนักศึกษาทุกชนิดถูกระงับ นักศึกษาในช่วงเวลานั้นเห็นว่าสังคมไทยจะไม่สามารถมีความเป็นธรรมได้อย่างแท้จริงหากสังคมยังเป็นเผด็จการอยู่ จึงได้เข้าร่วมกับ
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
(พคท.) ที่ปฏิบัติงานกันอยู่ในเขตพื้นที่ป่าเขาในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น บริเวณเทือกเขาภูพาน ภูซาง เขาค้อ ภูหินร่องเกล้า ดอยยาว เป็นต้น และได้มีการแต่งบทกวีโดย
วัฒน์ วรรลยางกูร
ถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อ
เหตุการณ์ 6 ตุลาคม
ซึ่งภายหลังบทกวีนี้ได้กลายมาเป็นเพลงเพื่อชีวิตที่ชื่อ
จากลานโพธิ์ถึงภูพาน
มีเป้าหมายในการปลุกขวัญกำลังใจเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลและเป็นการเผยแพร่
ลัทธิสังคมนิยม
อีกด้วย เพลงเพื่อชีวิตในยุคนี้จึงสามารถเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่าเพลง
ปฏิวัติ
(Rebellion Song) ในขณะนั้นวงคารานซึ่งมี
พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
ร่วมเป็นสมาชิกแล้ว และวงเพื่อชีวิตอีกหลายวง เช่น
โคมฉาย
กงล้อ
คุรุชน
รวมฆ้อน
กรรมาชน
และอื่นๆ ก็ได้เข้าร่วมปฏิบัติงานกับ
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ด้วย เมื่อการปฏิวัติผ่านไปจนถึงช่วงสุดท้าย เกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายต่างๆ นำไปสู่การเกิดวิกฤตศรัทธาต่อ
พรรคคอมมิวนิสต์
ในภูมิภาค จึงก่อให้เกิดบทเพลงที่แสดงออกถึงความท้อแท้ สับสน และท้อถอยในแนวทางการต่อสู้ของคนหนุ่มสาวที่มีต่อสังคมในอุดมคติ ทำให้มีการปรากฏของบางบทเพลงที่ไม่ได้รับการเผยแพร่ เช่น
เขาไฟ
บ้านนาสะเทือน
รวมไปถึง
เพลง คิดถึงบ้าน
หรือ
เดือนเพ็ญ
ของ นาย
อัศนี พลจันทร์
หรือ นายผี และเพลงอื่นๆอีกมากมาย
ภายหลังการออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 ที่มีเนื้อความนิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำความผิดในช่วงเวลาของความขัดแย้ง บรรดาคนที่เข้าร่วมการปฏิวัติก็กลับคืนสู่สังคมเมือง โดยก่อนจากกันได้มีการแต่งเพลง
กำลังใจ
เพื่อเป็นเหมือนคำมั่นสัญญาที่รักษาอุดมการณ์อันบริสุทธิ์ของคนหนุ่มสาวที่เข้าร่วมต่อสู้ต่อไปก่อนที่จะออกจากป่า
*เพลงเพื่อชีวิตยุคธุรกิจเพลง พ.ศ. 2525 - ปัจจุบัน
หลังจากการกลับมาของคาราวานและเพื่อนร่วมอุดมการณ์ คาราวานได้ทำสัญญากับบริษัทเพลง อีเอ็มไอ
ประเทศไทย
และบันทึกเสียงเพื่อออกอัลบัมอีกครั้ง โดยเพลงที่อยู่ในอัมบั้มเป็นเพลงที่เกิดขึ้นในยุคเพลงเพื่อชีวิต และ
เพลงปฏิวัติ
และด้วยเครื่องเสียงและเครื่องดนตรีที่มีคุณภาพมากกว่าแต่ก่อน ทำให้คาราวานได้ไปแสดงคอนเสิร์ตฟอร์ยูนิเซฟ ในปีพ.ศ. 2525 จัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มีการแสดงเพลง
คืนรัง
ซึ่งถือเป็นการเริ่มกระแสปรับเข้าสู่ระบบธุรกิจดนตรียุคใหม่ โดยในยุคนี้เพลงเพื่อชีวิตมีวัตถุประสงค์เพื่อการจำหน่าย ต่างจากสมันก่อนที่แต่งเพื่อสนับสนุนอุดมการณ์ทางการเมือง และยังมีการทดลองแนวทางดนตรีใหม่ๆ เช่น
สุรชัย จันทิมาธร
ใช้วง
ร็อค
เป็นแบ็คอัพ ทำให้คาราวานถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในเรื่องของความบกพร่องไม่สมบูรณ์ทางการแสดง และเรื่องของอุดมการณ์ แต่พวกเขาก็ได้เรียนรู้และฝึกฝนตัวเองให้ยืนอยู่ได้ในการแข่งขันของธุรกิจเพลงไทยทำให้คาราวานยืนหยัดในฐานะมืออาชีพและความอิสระในวิถีทางของตนที่ชัดเจนและได้รับการยอมรับในที่สุด
ต่อมาได้มีวงที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการจัดการระบบธุรกิจ และกลายเป็นวงเพื่อชีวิตที่ประสบความสำเร็จสูงสุด นั่นก็คือวงคาราบาวที่เกิดไล่หลัง
แฮมเมอร์
ได้ไม่นาน เพลง
วณิพก
ถือเป็นความสำเร็จที่ปลุกกระแสเพลงเพื่อชีวิตขึ้นมากลายเป็นกระแสใหญ่ของวงการเพลงไทยอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ทั้ง
พงษ์สิทธิ์ คำภีร์
,
คาราวาน
,
พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
,
คาราบาว
,
โฮป
,
คนด่านเกวียน
,
ฤทธิพร อินสว่าง
,
ศุ บุญเลี้ยง
,
นิรนาม
,
ซูซู
,
อินโดจีน
และอีกหลายวงเอง ก็มีส่วนเกื้อหนุนให้กระแสเพลงเพื่อชีวิตถาถมรุนแรงจนถึงที่สุด
เพลงเพื่อชีวิตนี้ได้เปลี่ยนเนื้อหาจากบทเพลงประท้วง เพลงแห่งอุดมการณ์ กลายมาเป็นเพลงสะท้อนสังคม ที่คลายความรุนแรงลงไปตายกระแสการเมืองและความเปลี่ยนแปลงทางสภาพเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนเข้าสู่ระบบ
ทุนนิยม
และ
บริโภคนิยม
เพลงเพื่อชีวิตเองก็ได้เข้ามามีพื้นที่ในตลาดเพลงไทย ถือเป็นความสำเร็จในทางยุทธศาสตร์ที่ขยายวงกว้างออกไปแล้ว
อีกด้านหนึ่งเพลงที่มุ่งเน้นที่ปรัชญาความคิดพร้อมกับดนตรีที่เรียบง่ายไม่แพรวพราว ออกมาจากความรู้สึกกับน้ำเสียงและคำร้องที่มีเนื้อหาที่มีสาระต่อสังคม ก็ได้กลายมาเป็น
เพลงใต้ดิน
ซึ่งควบคู่มากับกระแสการต่อสู้ของนักศึกษาภายหลังยุค
14 ตุลาคม
เป็นต้นมา เพื่อแสวงหาแนวร่วมทางความคิด และถูกทำเป็นเทปออกมาขายกันใต้ดิน ไม่มีการเปิดตาม
สถานีวิทยุ
ไม่มีค่ายเทปวางแผนโปรโมทและจัดจำหน่าย มีเพียงโปสเตอร์และสื่อสิ่งพิมพ์ที่กล่าวถึงเท่านั้น เพื่อเป็นการขยายแนวคิดและส่งผลสะเทือนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ฟังมีตัวเลือกใหม่ในการซื้อ แนวเพลงของแต่ละคนต่างมีความหลากหลายและมีลักษณะเฉพาะตัว ไม่สนใจว่าต้องมีบุคลิคหน้าตาดี หรือเพลงเพลงต้องมีแนวดนตรีที่เร็วและกระชับ แต่เน้นไปทางการนำเสนอความคิดมากกว่า
ถึงแม้กระแสสังคมจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่เพลงเพื่อชีวิตก็ยังคงไว้ซึ่งบทบาทในเนื้อหาทางสาระทางสังคมไทยตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นเสมือนบันทึกเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ของสังคมไทยในแต่ละยุคสมัยและสะท้อนความคิดความรู้สึกของคนในเหตุการณ์สำคัญต่างๆได้เป็นอย่างดี
“ตัวอย่าง”
“เพลงจิตร ภูมิศักดิ์”
…..สุรชัย จันทิมาธร-
เขียนใน
GotoKnow
โดย
"คนเมืองน้ำดำ"
ใน
รวมสารพัดเรื่องราว และ นานาสาระ
คำสำคัญ (Tags):
#"ชีวิตเพื่อเพลง"
หมายเลขบันทึก: 706697
เขียนเมื่อ 7 กันยายน 2022 21:03 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2022 05:10 น. (
)
สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ
จำนวนที่อ่าน
ความเห็น
ไม่มีความเห็น
หน้าแรก
สมาชิก
"คนเมืองน้ำดำ"
สมุด
รวมสารพัดเรื่องรา...
"เพลงเพื่อชีวิต"
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2025 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย