หนังสือ Antifragile : Things that Gain from Disorder เขียนโดย Nassim Nicholas Taleb บอกว่า antifragile มีความหมายตรงกันข้ามกับ fragile คือเหนียว ไม่แตกหักทำลายง่าย มีคุณค่าในสถานการณ์วุ่นวายยุ่งเหยิง
น่าสนใจยิ่ง ที่เขาบอกว่า ระบบที่ antifragile ต้องประกอบด้วยส่วนประกอบที่ fragile เพื่อเปิดช่องว่างหรือโอกาสให้ระบบมีการปรับตัว เขายกตัวอย่างระบบวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งๆ การดำรงอยู่ของสมาชิกไม่สำคัญเท่ากับการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ เผ่าพันธุ์จะดำรงอยู่ได้หากมีวิวัฒนาการแม้สมาชิกจะตายไป
อีกตัวอย่างหนึ่งคือระบบเศรษฐกิจ ที่ระบบจะก้าวหน้าได้ บริษัทส่วนหนึ่งต้องล้มเหลวและเจ๊งไป การมีบริษัท start-up จำนวนหนึ่งเจ๊งไป จะช่วยให้ธุรกิจนั้นๆ แข็งแรงขึ้น
ผมขอใช้คำไทยว่า เหนียว หรือ อึด แทน antifragility และ เปราะ แทน fragility
เขายกตัวอย่างการออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายเราอึด เราจะอึดหรือเหนียวเมื่อเราได้ฝึกเผชิญความยากลำบากหรืออุปสรรค และเมื่อสะสมกำลังสำรองไว้ยามวิกฤติ ความเหนียวหรืออึดจึงเกิดจากการเตรียมเผชิญสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า เตรียมไว้มากๆ หรือมากเกิน ที่เขาเรียกว่า overcompensation
ดังนั้นสภาพที่ราบรื่น จึงเป็นบ่อเกิดของความเปราะ การฝึกเผชิญความยากลำบากและล้มเหลว เป็นเส้นทางสู่ความเหนียวทนทานหรืออึด
สังคมสมัยใหม่ มุ่งสร้างความราบรื่น เท่ากับสร้างความอ่อนแอให้แก่มนุษยชาติ
ผู้เขียนอธิบายหลักการในหนังสือแก่ผู้ฟังที่ Google ฟังได้ที่ (๑)
ทำให้ผมระลึกถึงคำพูดของ ศ. นพ. เสม พริ้งพวงแก้ว ที่สอนผมเมื่อราวๆ ๔๕ ปีก่อนว่า ชีวิตที่ลำบากเป็นชีวิตที่เจริญ
วิจารณ์ พานิช
๒ ก.ค. ๖๕
I like the Thai words for fragile and antifragile. They make good sense and very easy to understand.
I think struggles may leave scars either physical (on the body) or mental (memory and learning) and these are both good and bad depending on point of view. I speak from experience of course.