สาเหตุของสงคราม
1. ความไม่เป็นธรรมของสนธิสัญญาแวร์ซายส์และสัญญาสันติภาพฉบับอื่นๆ ซึ่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมันและชาติผู้แพ้สงครามถูกบังคับให้ลงนามในสัญญา
2. ลัทธิชาตินิยมในประเทศเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น
3. ความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับระบอบเผด็จการ
4. ลัทธินิยมทางทหาร
5. นโยบายต่างประเทศที่ไม่แน่นอนของอังกฤษ
6. ความล้มเหลวขององค์กรสันนิบาตชาติ
7. การปิดประเทศอยู่แบบโดดเดียวของประเทศสหรัฐอเมริกา
8. สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในช่วง ค.ศ. 1929 – 1931 (ภายหลังสงครามโลกครั้งที่1)
ชนวนของสงคราม
1. สงครามอิตาลี-เอธิโอเปียครั้งที่ 2( สงครามอิตาลี-อะบิสซิเนียครั้งที่ 2 )
2. การยึดครองไรน์แลนด์ของเยอรมนี ภายในไรน์แลนด์มีเมืองสำคัญๆของเยอรมนี เช่น โคโลญจ์, อาเคน, แฟรงเฟิร์ต, และ
ดุสเซลดอล์ฟ เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการผลิตไวน์องุ่นที่สำคัญของเยอรมัน
3. สงครามกลางเมืองสเปนในปี ค.ศ. 1936 ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายซ้ายนิยมสาธารณรัฐและฝ่ายขวาชาตินิยม กลายเป็น
สงครามกลางเมืองสเปนเมื่อฝ่ายชาตินิยมก่อกบฏ
4. สงครามจีน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 2
5. เยอรมนีผนวกออสเตรีย
6. วิกฤตการณ์เชคโกสโลวาเกีย
7. การยกทัพบุกโปแลนด์ของเยอรมนีในวันที่ 1 กันยายน ปี ค.ศ. 1939
เหตุการณ์ของสงครามโลกครั้งที่ 2
เยอรมนีโจมตีโปแลนด์ เมื่อ 1 กันยายน 1939 ในวันที่ 3 กันยายน 1939 อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมนี
เยอรมนีทำการลบแบบสายฟ้าแลบ ได้ชัยชนะอย่างรวดเร็ว ได้ดินแดนโปแลนด์ เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม เดนมาร์ก และ
ฝรั่งเศส โจมตีอังกฤษ รัสเซีย ทางอากาศ ซึ่งเป็นสงครามทางอากาศที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สงครามในระยะแรกสัมพันธมิตรแพ้
ทุกสนามรบ
ด้านมหาสมุทรแปซิฟิก ญี่ปุ่นบุกแมนจูเรีย(จีน)ในปี ค.ศ.1931 และเสนอแผนการที่จะสถาปนา
“วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา” เพื่อผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและด้านอื่นๆ
ญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่ อ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941
สหรัฐจึงเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง โดยประกาศสงครามเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร
ขณะเดียวกันญี่ปุ่นเปิดสงครามในตะวันออกเฉียงใต้หรือเรียกว่า “สงครามมหาเอเชียบูรพา”
ในระยะแรกของสงครามฝ่ายอักษะได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด แต่หลังจากวัน D-Day (Decision - Day)
ซึ่งเป็นวันที่สัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่มอร์มังดี (Nomandy) ประเทศฝรั่งเศสด้วยกำลังพลนับล้านคน
เครื่องบินรบ 11,000 เครื่อง เรือรบ 4,000ลำ วิถีของสงครามจึงค่อย ๆ เปลี่ยนด้านกลายเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรได้เปรียบ
สงครามเริ่ม เมื่อ ค.ศ. 1939 สิ้นสุดเมื่อ ค.ศ. 1945 ( 6 ปี )
เยอรมันยอมแพ้ เมื่อ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 )
ญี่ปุ่นยอมแพ้ เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2
1.ด้านสังคม
มีผู้เสียชีวิตจากสงครามครั้งนี้ ประมาณ 40 ล้านคน
ประเทศรัสเซีย ประมาณ 20 ล้านคน
ประเทศเยอรมัน ประมาณ 3 ล้านคน
ประเทศญี่ปุ่น ประมาณ 1.3 ล้านคน
ประเทศอังกฤษ อิตาลี โปแลนด์ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา
ประมาณประเทศละ 3-6 แสนคน
การได้รับบาดเจ็บ ทุพพลภาพ การเกิดปัญหาทางจิต โรคระบาด การขาดสารอาหาร สูญหาย
2. ด้านการเมือง
ประเทศที่แพ้สงคราม
1. ต้องสูญเสียเกียรติภูมิ
2. ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม
3. ต้องเสียดินแดน
4. ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของสนธิสัญญา
ประเทศที่เป็นผู้แพ้สงคราม
อิตาลี ต้องเสียดินแดนที่ได้ในช่วงสงคราม ได้แก่บางส่วนของยูโกสลาเวีย
แอลเบเนีย กรีซ และต้องจ่ายค่าปฎิมากรรมสงคราม จำนวน 360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ฟินแลนด์ ต้องเสียดินแดนบางส่วนให้รัสเซียและต้องจ่ายค่าปฎิมากรรมสงคราม จำนวน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ฮังการี ต้องเสียดินแดนบางส่วนให้ เชโกสโลวะเกีย โรมาเนีย บัลแกเรีย รัสเซีย
บัลแกเรีย ต้องจ่ายค่าปฎิมากรรมสงครามให้แก่ ฟินแลนด์ ฮังการี โรมาเนีย ประเทศละ 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โรมาเนีย ต้องเสียดินแดนให้ บัลแกเรีย รัสเซีย ต้องจ่ายค่าประติมากรรมสงคราม 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ออสเตรีย ต้องถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน และให้ออสเตรียได้รับเอกราชใน ปี ค.ศ. 1955
ญี่ปุ่น ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของประเทศสหรัฐอเมริกาโดยห้ามมีกำลังทหาร และนโยบายการเมืองระหว่างประเทศ
ต้องได้รับความเห็นชอบจากสหรัฐอเมริกา
เยอรมัน
1. ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน โดยอยู่ในการดูแลของรัสเซีย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส
2. นครเบอร์ลิน เมืองหลวงเก่าถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน
3. ห้ามผลิตอาวุธสงคราม
4. การผลิตโลหะเคมี และเครื่องจักรต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของมหาอำนาจ 4 ชาติ
5. ระบบการเงิน เช่น เงินตรา หุ้น ให้ทำอย่างเปิดเผย
6. ผลผลิตทางการเกษตร และอุตสาหกรรมต้องนำไปใช้ทางด้านสันติเท่านั้น
7. สินค้าเข้า - สินค้าออกต้องได้รับการตรวจสอบจากพันธมิตร
8. การวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ต้องอยู่ในการควบคุมของพันธมิตร
9. ระบบนาซีทุกรูปแบบต้องถูกยกเลิกทั้งหมด
10. อาชญากรสงครามต้องได้รับการพิจารณาโทษ
3. ด้านเศรษฐกิจ
3.1 งบประมาณในการทำสงคราม
3.2 ความเสียของทรัพย์สิน สิ่งก่อสร้าง
3.3 ปัญหาการว่างงานหลังสงคราม
3.4 ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำภายหลังสงครามโลก
โลกภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
1.มีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ(UN : United Nations)เพื่อดำเนินงานแทนองค์การสันนิบาตชาติ
ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อรักษาสันติภาพของโลกและให้กลุ่มสมาชิกร่วมมือช่วย เหลือกัน และสนับสนุนสันติภาพของโลก
รวมทั้งการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ซึ่งนับว่ามีความเข้มแข็งกว่าเดิม เพราะสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง
และมีกองทหารของสหประชาชาติ
2.ทำให้เกิดสงครามเย็น(Cold War)ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้น ประเทศสหภาพโซเวียต(USSR) ปกครอง
โดยสมัยสตาร์ลินมีนโยบายขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ไปสู่ ยุโรปตะวันออก และเยอรมนีตะวันออก
ซึ่งมีทหารรัสเซียเข้าปลดปล่อยดินแดนเหล่านี้จากอำนาจฮิตเลอร์ในสงครามโลก ครั้งที่สอง
ขณะที่สหรัฐต้องการสกัดกั้นการขยายตัวดังกล่าว และเผยแผ่การปกครองแบบเสรีประชาธิปไตยในประเทศต่าง ๆ
โดยเฉพาะดินแดนอาณานิคมที่ประกาศเอกราช เป็นประเทศใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง จนเกิดสภาวการณ์ที่เรียกว่า
สงครามเย็น( Cold War )
3. ฝ่ายสัมพันธมิตรชนะ มีการนำอาวุธที่ทันสมัยและระเบิดปรมาณูมาใช้ ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินมากกว่า
สงครามโลกครั้งที่ 1
4. การเกิดประเทศเอกราชใหม่ๆ (ประเทศที่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกต่างประกาศเอกราชของตนเอง ทั่วโลก
โดยเฉพาะในเอเชีย และ แอฟริกา และบางประเทศถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน เช่น เยอรมนี เกาหลี เวียดนาม
5. สภาพเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
6. ความสูญเสียทางด้านสังคมและทางจิตวิทยา
7. เกิดมหาอำนาจของโลกใหม่ คือ สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต
8. เกิดการแบ่งขั้วอย่างชัดเจนของสองมหาอำนาจจนนำไปสู่เกิดสงครามเย็นและการแบ่ง กลุ่มประเทศระหว่างโลกเสรี
ประชาธิปไตยกับโลกคอมมิวนิสต์ สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายอุดมการณ์ฟาสซิสต์ทั้งใน
ยุโรปและเอเซีย และได้เกิดอุดมการณ์ใหม่ขึ้นเมื่อมีการเผชิญหน้ากันระหว่างสหรัฐ อเมริกาและสหภาพโซเวียต
โลกถูกแบ่งแยกออกเป็นสองค่าย กล่าวคือ
สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำค่ายประชาธิปไตย ส่วนสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำค่ายคอมมิวนิสต์ ต่างฝ่ายต่างพยายาม
นำเสนอระบบการเมืองที่ตนยึดมั่น เพื่อให้ประเทศอื่นๆรับไปใช้เป็นแม่แบบการปกครอง และพยายามแข่งขันกัน
เผยแพร่อุดมการณ์
ทางลัทธิการเมืองของตนในกลุ่มประเทศที่ เกิดใหม่หลังสงคราม เงื่อนไขนี้เอง จึงก่อให้เกิดการแข่งขัน
ขัดแย้งทางอุดมการณ์การเมืองการปกครองและค่อย ๆ ลุกลาม รุนแรงจนอยู่ในสภาพที่เรียกว่า
“สงครามเย็น” (Cold War)
9. เกิดปัญหาเกี่ยวกับประเทศที่แพ้สงคราม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เกิดปัญหาขึ้นในกลุ่มประเทศที่แพ้สงคราม เช่น
เยอรมนีถูกแบ่งแยกออกเป็นเยอรมนีตะวันตกให้อยู่ในอารักขาของสัมพันธมิตร ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส
ฝ่ายหนึ่ง และเยอรมนีตะวันออกให้อยู่ในความอารักขาของสหภาพโซเวียต จนกระทั่ง ค.ศ. 1949
ฝ่ายสหรัฐอเมริกาได้จัดให้มีการเลือกตั้งเสรีขึ้นในเยอรมนีตะวันตกและตั้งเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน
ส่วนสหภาพโซเวียตก็ได้จัดตั้งรัฐสภาประชาชนขึ้นในเยอรมนีตะวันออกและปกครอง ด้วยระบอบคอมมิวนิสต์
จัดตั้งเป็นสาธารณะรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน
ทำให้เยอรมนีถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ ซึ่งปัจจุบันได้ตกลงมารวมกันเป็นประเทศเยอรมนีนับแต่ปี 1990 เป็นต้นมา
นอกจากนี้ญี่ปุ่นที่ถูกยึดครองโดยฝ่ายสัมพันธมิตร ที่มีสหรัฐอเมริกาเป็น ผู้มีอำนาจเต็มแต่เพียงผู้เดียวในการวาง
นโยบายครอง ญี่ปุ่น แต่ยังคงให้ญี่ปุ่นมีรัฐบาลและมีจักรพรรดิเป็นประมุขของประเทศ
สหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนอุดมการณ์ของคนญี่ปุ่นให้หันมายอม รับฟังระบอบการปกครองแบบ
ประชาธิปไตยและสันติภาพ
ในช่วงที่เกิดสงครามเกาหลี สหรัฐอเมริกาได้เข้าไปช่วยฟื้นฟูพัฒนาเศรษฐกิจ ญี่ปุ่น และช่วยเหลือให้ญี่ปุ่นเปลี่ยน
เป็นประเทศอุตสาหกรรม จนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบัน
- ตามข้อตกลงปอตสดัม ทำให้เยอรมันถูกแบ่งออกเป็น 4 เขต และถูกยึดครองจากกลุ่มประเทศที่แบ่งเป็น 2 ฝ่าย
คือ สหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส ฝ่ายหนึ่ง และสหภาพโซเวียต อีกฝ่ายหนึ่ง
- ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ของสหภาพโซเวียตกับสหรัฐฯ ส่งผลให้เยอรมันถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
เยอรมันตะวันตก และเยอรมันตะวันออก
10.สหรัฐฯได้เข้าปกครองญี่ปุ่นเป็นเวลานานถึง 6 ปี โดยเข้าร่วมฝ่ายพันธมิตรหลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ เมื่อวันที่ 7
ธันวาคม ค.ศ. 1941 ในแถลงการณ์ของสหประชาชาติ เมื่อ 1 มกราคม ค.ศ. 1942 มีประเทศต่างๆ เข้าร่วมฝ่ายพันธมิตร
อย่างเป็นทางการจำนวน 26 ประเทศ (แถลงการณ์นี้เป็นพื้นฐานของการก่อตั้งสหประชาชาติในภายหลัง)
11.ประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมได้รับเอกราช บรรดาดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคมของชาติมหาอำนาจตะวันตกและญี่ปุ่น
ต่างก็ทยอย กันได้รับเอกราชและแสวงหาลัทธิการเมืองของตนเอง ทั้งในเอเชีย และ แอฟริกา เช่น ยุโรปตะวันออกอยู่ใน
ค่ายคอมมิวนิสต์ ยุโรปตะวันตกเป็นกลุ่มประชาธิปไตย
ส่วนในเอเชียนั้นจีนและเวียดนามอยู่ในค่ายคอมมิวนิสต์ แต่การได้รับเอกราชของชาติต่าง ๆ ได้ก่อให้เกิดปัญหามากมาย
เช่น เกาหลีภายหลังได้รับเอกราชภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกแบ่งเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ และได้ทำสงคราม
ระหว่างกัน ค.ศ. 1950 – 1953
โดยเกาหลีเหนือซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตและจีนคอมมิวนิสต์ เป็นผู้รุกรานเกาหลีใต้
องค์การสหประชาชาติได้ส่งทหารสัมพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐอเมริกาเข้าปกป้อง เกาหลีใต้ไว้ได้ จนต่อมาได้มีการลงนาม
ในสัญญาสงบศึกที่หมู่บ้านปันมุนจอมในเขตเกาหลีเหนือ ปัจจุบันเกาหลีมีแนวโน้มที่จะรวมกันเป็นประเทศเดียวในอนาคต
เวียดนามต้องทำสงครามเพื่อกู้อิสรภาพของตนจากฝรั่งเศส และถึงแม้จะชนะฝรั่งเศสในการรบที่เดียนเบียนฟู
ใน ค.ศ. 1954 แต่เวียดนามก็ถูกแบ่งออกเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ ทั้งสองประเทศได้ต่อสู้กันเพราะความขัดแย้ง
ในอุดมการณ์ที่แตกต่างกันระหว่าง คอมมิวนิสต์กับเสรีประชาธิปไตย
ในที่สุดเมื่อสหรัฐอเมริกาผู้สนับสนุนเวียดนามใต้ยุติการให้ความช่วยเหลือ และถอนทหารกลับประเทศ
เวียดนามก็รวมประเทศได้สำเร็จใน ค.ศ. 1975 ในเวลาเดียวกันลาวและกัมพูชาซึ่งปกครองโดยรัฐบาลคอมมิวนิสต์
ก็ตกอยู่ภายใต้ อิทธิพลทางการเมืองของเวียดนาม แต่สามารถจัดตั้งรัฐบาลของตนเองได้ในเวลาต่อมา
ไทย กับสงครามโลกครั้งที่ 2
ญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสัมพันธมิตร เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ต่อมา วันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941
กองทหารญี่ปุ่นก็เข้าเมืองไทย ทางสงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ และสมุทรปราการ
ขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็เข้าโจมตีเกาะฮาวาย, ฟิลิปปินส์และส่งทหารขึ้นบกที่มลายูและโจมตีสิงคโปร์ทางเครื่องบิน
สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้นในรัชสมัยของรัชกาลที่ 8 (ขณะนั้นเสด็จประทับอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
หลวงพิบูลสงคราม(จอมพล ป. พิบูลสงคราม)เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อเริ่มสงครามนั้นไทยประกาศตนเป็นกลาง
แต่ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ญี่ปุ่นนำเรือรบบุกขึ้นชายทะเลภาคใต้ของไทยโดยไม่ทันรู้ตัว รัฐบาลต้องยอมให้ญี่ปุ่นผ่าน
ทำพิธีเคารพเอกราชกันและกัน
ผลของสงครามต่อไทย คือ
ไทยต้องส่งทหารไปช่วยญี่ปุ่นรบ
ได้ดินแดนเชียงตุง และสี่จังหวัดภาคใต้ที่ต้องเสียแก่อังกฤษกลับมา แต่ต้องคืนให้เจ้าของเมื่อสงครามสงบลง
เกิดขบวนการเสรีไทย ซึ่งให้พ้นจากการยึดครอง
ไทยได้รับเกียรติเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ
ขบวนการเสรีไทย (Free Thai Movement)
ดำเนินช่วยเหลือฝ่ายสัมพันธมิตร จึงช่วยให้ไทยรอดพ้นจากการแพ้สงคราม ซึ่งในวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1942 ไทยได้
ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาแต่ทูตไทยในสหรัฐอเมริกา ที่นำโดยหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ไม่ยอม
รับทราบในการกระทำของรัฐบาล จึงได้ร่วมมือกันตั้งเสรีไทยขึ้นติดต่อกับ นายปรีดี พนมยงค์ ในเมืองไทย
เมื่อสงครามสงบในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ไทยประกาศสงครามเป็นโมฆะ ซึ่งสหรัฐอเมริการับรอง
ต่อมาไทยได้เจรจาเลิกสถานะสงครามกับอังกฤษ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1946 และกับฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 17
พฤศจิกายน ค.ศ. 1946
ไม่มีความเห็น