ผู้ที่ศึกษาในเรื่องราวของประวัติศาสตร์จำเป็นต้องมีความเข้าใจในเรื่องของเวลา ซึ่งมีความเกี่ยวข้องในการศึกษาประวัติศาสตร์ เพื่อให้สามารถลำดับช่วงเวลาเชื่อมโยงเหตุการณ์และวิเคราะห์หลักฐานทางประวัติศาสตร์ตามยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ได้ถูกต้อง
เวลาคือสิ่งที่เชื่อมอดีตกับปัจจุบัน เวลาเป็นตัวแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ เวลาจึงมีความสำคัญต่อการศึกษาทางประวัติศาสตร์
ความสำคัญของเวลา
1. เวลาแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของมนุษย์ในอดีตทุกๆด้าน ทั้งด้านสภาพสังคมเศรษฐกิจ การเมือง และความเชื่อทางศาสนา
2. เวลาช่วยให้เข้าใจในเหตุการณ์หรือเรื่องราวในอดีตได้ชัดเจน
3. เวลาจะช่วยเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันนำไปสู่การคาดคะเนในอนาคต
4. มนุษย์ใช้ภูมิปัญญาผลิตเครื่องมือบอกเวลา เพื่อสนองความจำเป็นในการดำรงชีวิต
ในการศึกษาประวัติศาสตร์นั้นเวลามีจะมีความสำคัญ เพราะจะช่วยให้เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่เกี่ยวกับ
ลำดับของเหตุการณ์การเชื่อมโยงของอดีตกับปัจจุบัน
การเปรียบเทียบเหตุการณ์ร่วมสมัยในประวัติศาสตร์นั้น นักประวัติศาสตร์จะเรียงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดในประวัติศาสตร์ โดยอาศัยเวลาตามเหตุการณ์นั้นๆที่ได้เกิดขึ้น
ความต่อเนื่องของกาลเวลา มิติของเวลา
เวลามีการเคลื่อนที่อยู่เสมอ ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่
ปัจจุบัน = สักวันหนึ่งก็จะกลายเป็นอดีต
อนาคต = สักวันหนึ่งจะกลายเป็นปัจจุบัน และมีอนาคตมาอีก
อดีต = เราสามารถรู้ได้ว่าผ่านมาเท่าใด แต่อนาคตเราไม่สามารถรู้ได้
ศักราช (ERA) หมายถึงอายุเวลาที่ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยถือเอา เหตุการณ์ที่สำคัญ เหตุการณ์หนึ่ง เหตุการณ์ใด เป็นจุดเริ่มต้น แล้วนับเวลาเป็นปีเรียงตามลำดับติดต่อกันมา
1.การนับศักราชแบบไทย
1.1 นับโดยใช้พุทธศักราช ใช้ย่อว่า พ.ศ. โดยเริ่มจากปีที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์นิพพาน มีการกำหนดใช้พุทธศักราชของไทย เริ่มขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 6 ( พ.ศ. 2455 )
มหาศักราช ย่อว่า ม.ศ. (Shaka Era )เป็นศักราชที่พระเจ้ากนิษกะ กษัตริย์อินเดียกำหนดขึ้น
มหาศักราช มีอายุน้อยกว่า พุทธศักราช อยู่ 621 ปี นิยมใช้ในทางโหราศาสตร์
รัตนโกสินทร์ศก ย่อว่า (ร.ศ.) เริ่มในสมัยรัชกาลที่ 5
โดยเริ่ม ร.ศ.1 ในปี พ.ศ. 2325
จุลศักราช ย่อว่า จ.ศ. เริ่มขึ้นในอาณาจักรพุกามของพม่า เกิดขึ้นหลังพุทธศักราช 1181 ปี ยกเลิกการใช้ในสมัยรัชกาลที่ 6
1.2 การนับเวลาในระบบจันทรคติ คือ การนับเวลาตามดวงจันทร์
ขึ้น......ค่ำ เริ่มจากเห็นดวงจันทร์เป็นเสี้ยวเล็กไปจนเห็นครึ่งดวงเป็น
วันขึ้น 8 ค่ำ เห็นเต็มดวงเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ
แรม ..... ค่ำ เริ่มจากเห็นดวงจันทร์เต็มดวง เหลือครึ่งดวง เรียกว่า
แรม 8 ค่ำ แทบไม่เห็นเลย ในวันแรม 14-15 ค่ำ
เดือนทางจันทรคติ มี 12 เดือน
โดยต้นที่เดือนอ้าย (1) เดือนยี่ (2)..........เดือน 12
เริ่มต้น วันขึ้น 1 ค่ำ สิ้นเดือนในแรม 14 ค่ำ สำหรับเดือนคี่
วันแรม 15 ค่ำ สำหรับเดือนคู่
ปีอธิกมาส = ปีที่มีเดือน 8 สองหน
1.3 การนับเวลาในระบบสุริยคติ
เป็นการนับโดยถือดวงอาทิตย์เป็นหลัก
วันทางสุริยคติ คือ วันที่ 1-2-3-4 ...... 30 หรือ 31
เดือนทางสุริยคติ มี 12 เดือน ใน 1 ปี
ปีปกติสุรทิน ใน 1 ปี มี 365 วัน(เป็นปีปฏิทิน ที่มีจำนวนวัน 365 วัน และไม่ใช่ปีอธิกสุรทิน)
ปีอธิกสุธน ใน 1 ปี มี 366 วัน ( เดือนกุมภาพันธ์ 4 ปี มี 1 ครั้ง )
(เดือนที่เพิ่มขึ้นในปีจันทรคติ คือ ในปีนั้นมี 13 เดือน มีเดือน 8 สองหน เรียกว่า เดือน 8 สอง 8 )
2. การนับศักราชแบบสากล
คริสต์ศักราช (CHRISTIAN ERA) ภาษาไทย ย่อว่า ค.ศ. ภาษาอังกฤษ ย่อว่า A.D. มาจากคำว่า ANNO DOMINI ซึ่งเป็นภาษาลาติน ตรงกับภาษาอังกฤษว่า THE YEAR OF OUR LORD แปลว่า ปีแห่งพระผู้เป็นเจ้าของเรา
โดยเริ่มจากปีที่เชื่อว่าเป็นประสูติของพระเยซู ถือเป็น ค.ศ. 1 (ซึ่งเวลาน้อยกว่า พุทธศักราช ประมาณ 543 ปี
(ตรงกับพุทธศักราช 544 )
ในช่วงเวลาก่อนพระเยซูประสูติ เรียกว่าก่อนคริสต์ศักราช ย่อว่า B.C. (BEFORE CHRIST)
ฮิจเราะห์ศักราช (HIJRAH) ใช้ย่อว่า ฮ.ศ.
ฮิจเราะห์ศักราช มาจากภาษษอาหรับแปลว่า การอพยพออกจากเมืองเมกกะไปยังเมืองเมดินา
เริ่มนับตั้งแต่ปีที่ท่านนบีมูฮัมมัดหนีออกจากเมืองเมกกะไปยังเมืองเมดิน่า เมื่อ พ.ศ. 1123
การเทียบฮิจเราะห์ศักราชเป็นพุทธศักราชให้บวกด้วย 1122
การนับทศวรรษ ศตวรรษ และสหัสวรรษ
ทศวรรษ (DECAADE) มาจากคำว่า ทศ+วรรษ
ทศแปลว่า สิบ วรรษ แปลว่า ปี
จะนับศักราชที่ลงท้าย 0 ถึงศักราชที่ลงท้ายด้วย 9 เช่น
ทศวรรษที่ 2000 ตามคริสต์ศักราช หมายถึง ค.ศ. 2000-2009 หรือนับจากปีที่เกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งก็ได้
ศตวรรษ (CENTURY) มาจากคำว่า ศต+วรรษ
ศต แปลว่า ร้อย วรรษ แปลว่า ปี
จะนับศักราชที่ลงท้าย 01 ถึงศักราชที่ลงท้ายด้วย 00 เช่น
คริสต์ศตวรรษที่ 21 หมายถึง ค.ศ. 2001-2100
ไม่มีความเห็น