Phagophobia อยู่ในประเภทของโรควิตกกังวล เรียกว่าโรคกลัวการกลืน ความกลัวและความวิตกกังวลจะเกิดเมื่อมีสิ่งมากระตุ้น เช่น อาหาร อาการที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะที่หลีกเลี่ยงการกลืนทั้งอาหาร น้ำ และยา , เหงื่อแตก , ใจสั่น , วิตกกังวลแบะมีความเครียดสูง เมื่อต้องทานอาหาร ส่งผลให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะนั้น อาจเกิดภาวะอื่นๆตามมา เช่น ขาดสารอาหารที่จำเป็น ขาดน้ำ น้ำหนักตัวลดลง เป็นต้น
สาเหตุ อาจเกินขึ้นมาจากประสบการณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับอาหาร ทั้งเคยประสบด้วยตนเองและได้รับคำบอกเล่าหรือได้เห็นมา
วิธีแก้ไขปัญหา ควรพบแพทย์หรือนักบำบัดเพื่อรักษาอาการกลัวการกลืน เพื่อไม่ให้มีความรุนแรงขึ้นจนกระทบกับชีวิตประจำวันไปมากกว่าเดิม
บทบาทนักกิจกรรมบำบัดในการให้คำปรึกษาผู้ป่วยกลัวการกลืนได้ใน21วัน
วันที่1: (เจอผู้ป่วยครั้งแรก)
ทักทายผู้ป่วยด้วยความเป็นมิตรและเมตตาอยากช่วยเหลือ ให้ความรู้สึกปลอดภัยที่จะเปิดเผยเรื่องราวได้อย่างสบายใจ สร้างความเชื่อมั่น (Therapuetic use of self and relationship) สอบถามสัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องที่มาหานักกิจกรรมบำบัดว่ามีปัญหาอะไรบ้าง เปิดใจรับฟังอย่างมี sympathy และ empathy ไม่ตัดสินถูกผิดและโทษผู้ป่วยในประสบการณ์ที่เคยได้รับมา (deep listening) เมื่อได้ความประกอบกับการอ่านเคสแล้วว่ามีปัญหากลัวการกลืน ให้ทำการประเมินการกลืนต่อว่านอกจากเป็นเรื่องประสบการณ์แล้วยังมีสิ่งที่ทำให้มีภาวะกลัวการกลืนจากการทำงานของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องร่วมด้วยหรือไม่ โดยใช้การประเมิน Dry swallowing test , Water swallowing test และ ใช้แบบทดสอบกลืนลำบากเบื้องต้นทางกิจกรรมบำบัด เพื่อดูว่ามีภาวะกลืนลำบากร่วมด้วยหรือไม่ โดยในตัวอย่างนี้จะกล่าวถึงแบบทดสอบกลืนลำบากเบื้องต้นทางกิจกรรมบำบัดดังนี้
แล้วนำข้อมูลที่ได้มาประกอบกับการวางแผนรักษาต่อไปในวันอื่นๆ ประกอบกับการสังเกตถึง non-verbal ของผู้รับบริการขณะทำการประเมิน เช่น เหงื่อออก กระวนกระวาย หน้ามืด ชีพจรเต้นเร็ว
***แต่หากผู้ป่วยได้รับการยืนยันวินิจฉัยจากแพทย์มาแล้วว่ากลัวการกลืน (Phagophobia) ให้ลดขั้นตอนประเมินข้างต้นด้านบนลง เน้นที่การสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาหารที่กินประจำว่าหากไม่ได้กินอาหารแบบปกติแล้วมีอะไรทดแทนนำประเภทความข้นเหลวอาหารจากข้อมูลมาจัดว่าความสามารถของผู้ป่วยในปัจจุบัน สามารถทานอาหารข้นเหลวได้ในระดับใด ไม่จำเป็นต้องเป็นอาหารข้นเหลวระดับ1เสมอ เพราะความสามารถของผู้ป่วยนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละราย
หลังจากที่ทำการประเมินข้างต้นแล้ว ต่อมาให้ชวนผู้ป่วยปรับวิธีคิดและทัศนคติต่อการกลืน เพื่อให้ลดความวิตกกังวลที่ส่งผลต่อการกลืน ใช้เทคนิค CBT (Cognitive behavioral therapy) และ MI (Motivational interviewing) ในการสัมภาษณ์ ค้นหาชุดความคิดอัตโนมัติที่ทำให้รู้สึกว่าการกลืนเป็นเรื่องน่ากลัว เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ให้ตั้งคำถามต่อถึงเหตุการณ์ที่อาจเป็นตัวตั้งต้นของชุดความคิดนั้น พร้อมกับถามถึงวิธีแก้ปัญหาเพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ตั้งต้นที่นำไปสู่การกลัวการกลืน เขียนข้อดี-ข้อเสีย เกี่ยวกับการกลืนกินอาหารปกติได้และการที่กลืนอาหารปกติไม่ได้ ให้ผู้รับบริการชั่งระหว่างข้อดี-เสีย เพื่อให้เห็นถึงสิ่งที่เขาจะได้รับเมื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมดังกล่าว และความพร้อม/ความมั่นใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ถามทั้งในระยะต้นของการสัมภาษณ์และท้ายบทสัมภาษณ์ นำผลมาเปรียบเทียบกันว่าผู้ป่วยเมื่อได้คุยแล้วมีความคืบหน้าของการเปลี่ยนแปลงชุดความคิดหรือไม่
สุดท้ายให้Home program กับผู้ป่วยในการให้เขียนสิ่งดีๆที่ได้พูดคุยกับนักกิจกรรมบำบัด เขียนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจถึงการเปลี่ยนแปลงการกลืนอาหาร เขียนบอกให้กำลังใจตัวเองว่าสามารถทำได้ เผื่อวันใดที่รู้สึกยากหรือท้อแท้ในการฝึกให้กลับมาอ่านข้อความของวันแรกเติมเชื้อไฟอีกครั้ง
วันที่2: (Home program)
วันที่3: (เตรียมความพร้อมของจิตใจก่อนการฝึกกลืน)
ฝึกการรู้ถึงสติของตนเอง ให้อยู่กับตัวในปัจจุบัน :
ทำการตรวจสอบทราบถึงแนวทางการพัฒนาสมองส่วนหน้าด้านการบริหารจัดการความคิด อารมณ์ และการกระทำในกิจกรรมการดำเนินชีวิต :
สุดท้าย สร้างความเข้าใจให้ผู้ป่วยเกี่ยวกับกระบวนการกลืนของร่างกายว่ามีกลไกทำงานอย่างไรบ้าง และร่างกายมีการป้องกันตนเอง เช่น การสำลัก เมื่อทราบแล้วชวนให้ผู้ป่วยคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผล ใช้สมองซีกซ้ายคิดให้เป็นว่ามีเหตุและผลอะไรที่ทำให้กลืนปลอดภัยไม่สำลัก หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้สำลักเหล่านั้น ก่อนจะให้ท่าออกกำลังกายการฝึกลิ้น-ปากให้ทำงานประสานกัน กำหนดให้ฝึกตอนก่อนกินอาหารและก่อนแปรงฟัน ประมาณ5ครั้งก่อนที่จะกินอาหารและก่อนแปรงฟันทุกครั้ง ดังรูปที่แนบไว้
ก่อนจากกัน บอกให้ผู้ป่วยเตรียมอาหารมาด้วยในการพบกันวันรุ่งขึ้น สำคัญที่ในการเลือกอาหารนี้ควรเป็น
วันที่4 : (ฝึกทานอาหารจริง)
นักกิจกรรมบำบัดจัดอาหารในเกรดที่ผู้ป่วยได้ทำการประเมินไปแล้วว่าอยู่ในระดับใดรสชาติควรมีรสไม่จัดเพื่อไม่ให้กระตุ้นการรับสัมผัสที่ดีกว่าคนปกติ นำมาจัดโต๊ะร่วมกับสิ่งที่ผู้ป่วยนำมาด้วย ทำในห้องที่สงบและปลอดภัย รวมถึงให้ควบคุมอุณหภูมิของอาหารให้อยู่ที่30-40องศาเซลเซียส ร่วมกับการให้ดมกลิ่น Black pepper oli (ในที่นี้หากผู้ป่วยได้กลิ่นฉุนไม่ได้ให้ละออกไป) ก็สามารถช่วยให้ลดการสำลักลงเช่นเดียวกัน
ก่อนที่จะทำการฝึกทานอาหารและกลืนนั้น ประเมินเกี่ยวกับความพร้อมและความตึงเครียดก่อนเริ่มกิจกรรมด้วยวิธีดังนี้
ปรับความคิดบวกและสร้างความมั่นใจก่อนลงมือทำจริงโดย ฝึกจินตนาการภาพ โดยให้ผู้ป่วยนึกถึงภาพขณะรับประทานอาหารที่ชอบ อย่างเอร็ดอร่อย กินเก่ง สามารถกินได้ทุกอย่าง แล้วปรับภาพให้ชัด เมื่อใดมีภาพความกลัวเกิดขึ้น ก็ให้พูดเสียงดังๆให้ตัวเองได้ยิน 3 ครั้ง ว่า “ลบออกไป มั่นใจ กลืนได้ดี” ต่อด้วยเป่าลมหายใจออกทางปากยาวๆ 3 ครั้ง
ฝึกการทานและกลืน
วันที่5-10 : (Home program)
แนะนำผู้รับบริการเกี่ยวกับระดับความข้นเหลวของอาหาร ปรับให้เหมาะสมและมีความท้าทายความสามารถบ้างก่อนทานอาหารให้ออกกำลังกายลิ้นและปากเช่นเดิม เพิ่มกิจกรรมการเคี้ยวกลืน กิน บริโภคอาหารอย่างมีสติสัมปชัญญะ
วันที่11 : (ตรวจสอบถึงผลก้าวหน้าที่ได้ฝึกไป 6 วัน)
ให้ผู้รับบริการบอกเล่าถึงการฝึกที่บ้านที่ผ่านมา พร้อมกับวัดระดับความมั่นใจอีกครั้งในการปรับระดับอาหารขึ้น1 ระดับ แต่ยังคงมีอาหารระดับเดิมอยู่แต่ไม่มากเท่าที่ผ่านมา เพิ่มระดับอาหารใหม่เป็นเมนูแทนของเดิม ให้ใช้วิธีการปรับอารมณ์ก่อนทานเช่นเดิม
วันที่12-20 : (Home program)
วันที่21 : (สิ้นสุดการบำบัด)
สอบถามเกี่ยวกับความคืบหน้าและความภูมิใจต่อตนเอง ในทั้งนี้ระดับอาหารที่ทานได้แล้วไม่จำเป็นต้องเป็นระดับเดียวกับปกติที่ทาน(ระดับ7) เนื่องจากการบำบัดฟื้นฟูกลัวการกลืนใช้เวลาอย่างน้อย1ปี เพียงใน21วันหากมีความคืบหน้าในการทานอาหารได้แล้วมากขึ้น1-2ระดับ ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
สุดท้ายพูดขอบคุณตัวเองที่ทำให้สำเร็จในเวลาที่วางแผนไว้ กอดตัวเองในท่าผีเสื้อ หายใจเข้าลึกออกยาวพร้อมกับขยับมือตบหน้าอกเบาๆ
ขอขอบคุณแหล่งอ้างอิงจาก :
1.https://www.verywellmind.com/what-is-the-fear-of-swallowing-2671906
2.https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S134786131930773X
3. หนังสือ กิจกรรมการดำเนินชีวิตจิตเมตตา เขียนโดย ผศ.ดร.ก.บ.ศุภลักษณ์ เข็มทอง อาจารย์นักกิจกรรมบบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล
4.
5.
ไม่มีความเห็น