✎ MoHo...to heal มุ่งสู่สุขภาวะที่ดีของเรา



What is MoHo...?

MoHo = Model of Human Occupation


          เป็นหลักการทางกิจกรรมบำบัดที่ใช้ประเมินแยกแยะปัญหาเพื่อตั้งเป้าหมายรายบุคคลจาก assets, liabilities, performance, influence และใช้เพิ่มความสามารถของผู้รับบริการในการแสดงบทบาทที่มีความหมายในชีวิตโดยใช้สิ่งที่อยู่รอบๆตัวเป็นสื่อในการพัฒนาให้เกิดการปรับตัวตามช่วงวัยเกิดทักษะและบทบาทใหม่ๆขึ้นมา กล่าวสรุปง่ายๆว่าเป็นแบบจำลองที่นักกิจกรรมบำบัดใช้ในการประเมินรักษาแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างผู้รับบริการกับตัวของนักกิจกรรมบำบัดเอง




“ MoHo นั้นสอนให้เราได้รู้จักกับตนเอง

กล่าวได้ว่า MoHo นั้นมีประโยนชน์มากกว่าที่เราคิด

หากคุณเป็นคนที่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆอย่างว่างเปล่า

เกิดความรู้สึกว่าฉันใช้ชีวิตไปเพื่ออะไร

MoHo นี่แหละเป็นสิ่งที่สามารถช่วยคุณได้  "

❥ประโยชน์ MoHo ต่อการพัฒนาตนเอง

  1. สอนให้เรารู้จักคิดวิเคราะห์ แยกแยะปัญหา รู้จักการจัดระบบความคิดให้มีระเบียบแบบแผนเป็นขั้นเป็นตอน
  2. ทำให้เรารู้ถึง purpose ที่เราต้องการ รู้ว่า goal คืออะไร เป้าหมายที่เราต้องการคืออะไร เช่น เราเป็นนักศึกษา เป้าหมายของเราคือการเรียนให้จบภายใน 4 ปี
  3. ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าในชีวิตเพราะเมื่อชีวิตมีเป้าหมาย เราก็จะรู้สึกว่าการดำเนินชีวิตนั้นมีค่า
  4. ก่อให้เกิด occupation ใหม่ๆเพื่อเป็นการเพิ่มทักษะอันนำไปสู่การประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่ตนเองต้องการ เช่น เป้าหมายของเราคือการสอบ TOEIC ให้ได้700คะแนนขึ้นไปก็จะเกิด occupation ย่อยๆระหว่างนั้น ยกตัวอย่างเช่น เพิ่มกิจกรรมการท่องศัพท์หลังเลิกเรียนตอนเย็นขึ้นมาโดยท่องอย่างน้อยวันละ 10 คำ , การดูรายการทีวีที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร เป็นต้น
  5. MoHo ทำให้เราเกิดความรับผิดชอบในตนเอง เกิดแรงผลักดันในชีวิต
  6. ทำให้เราได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดและรู้จักยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเรียกว่าการยอมรับความจริงในสิ่งที่เราเป็น
  7. มองเห็นตัวตนของตัวเองมากขึ้น MoHo จะช่วยให้เราดึงความสามารถของตนเองออกมาและนำความสามารถนั้นไปพัฒนาจนเกิดประโยชน์ต่อตัวเองมากที่สุด
  8. MoHo ไม่เพียงแต่ทำให้เรารู้จักตนเองเท่านั้นแต่สอนให้เรามีโลกทัศน์ที่กว้างไกลมากขึ้น เช่น environment รอบๆตัวซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและมีอิทธิพลต่อตัวเราเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นแล้วการจะคิดอะไรอย่าเพียงแต่มองที่ตัวของเรา จงมองสิ่งที่อยู่รอบๆตัวของเราด้วยเช่นกัน การมองแบบนี้นั้นจะนำไปสู่การพัฒนาตนเองอย่างมีประสิทธิผลมากที่สุด
  9. MoHo จะช่วยกำหนดบทบาทของเราในอนาคต ช่วยทำนายชีวิตเราในอนาคตได้ เช่น การที่เราเป็นนักศึกษากิจกรรมบำบัดก็เป็นการทำนายชีวิตเราในอนาคตว่า เราจะมีอาชีพเป็นนักกิจกรรมบำบัดนั่นเอง
  10. ทำให้เรารู้จักคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ทำให้เรารู้ว่าชีวิตที่เราเกิดนั้นมีคุณค่าตามหลัก good, right, important  



MoHo...To Heal Myself


' MoHo เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราวางแผนความคิดอย่างเป็นระบบระเบียบ 

รู้จักประเมินตนเอง และนำไปสู่การพัฒนาตนเองอย่างเป็นขั้นเป็นตอน '


  1. อย่างแรกเราต้องมีเป้าหมายในการ occupation คิดก่อนว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการที่จะทำจริงๆ
      • เป้าหมายคือ การเรียนจบปริญญาตรีสาขากิจกรรมบำบัดภายใน 4 ปี ( เกิดการตั้งเป้าหมายขึ้นมาเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนไปข้างหน้า ชีวิตมีเป้าหมายเราก็จะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าที่จะมีชีวิตต่อไป เกิดความุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ)  

      2. เมื่อรู้สิ่งที่เราต้องการที่จะทำ เราก็ควรรู้ว่ากิจกรรมนี้ช่วยให้เราแสดงศักยภาพออกมาแค่ไหน  

      • การที่เราเรียนสาขานี้นั้นทำให้เราได้ใช้ศักยภาพและความสามารถที่ตนเองมีออกมามากมาย เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์ การจัดการเวลา การมีความรับผิดชอบ ทักษะทางด้านวิชาการ(วิทย์-คณิต) เป็นต้น 

      3. เราต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรม เช่น การเรียนก็คือeducation ในเมื่อเราใช้เวลาเต็มที่ไปกับกิจกรรมนี้แต่เราก็ควรมีการพักผ่อน(leisure) โดยการฟังเพลง ดูหนัง นอกจากนั้นเราก็มีกิจกรรมที่ทำเป็นกิจวัตรตามปกติ(ADL) โดยทั้งหมดนั้นมีความ balance(สมดุล) ถ้าหากอยากจะให้ออกมาดีเราควรแบ่งเวลาในส่วนนี้ให้ทุกๆอย่างมีความสมดุลและพอดี มองดูตนเองว่ามีกิจกรรมไหนที่ตนยังบกพร่องอยู่หรือไม่ ซึ่งหากยังมีความบกพร่องเราก็แก้ไข ปรับปรุง ปรับตัวใหม่ ในส่วนนี้ก็ถือเป็นการพัฒนาตนเองในด้านอื่นๆควบคู่ไปด้วยนั่นเอง

      4. ความสามารถที่เราทำได้คือความตั้งใจ มีความมุ่งมั่นอดทนและมีความรับผิดชอบในตนเอง เป็นข้อดีที่สำคัญที่จะนำเราไปสู่การบรรลุเป้าหมายที่เราตั้งใจไว้ ทั้งนี้ก็อาจมีความสามารถบางอย่างที่เราอาจจะยังไม่สามารถแสดงออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในจุดนี้เราก็ควรรู้ตนเองว่าเรายังขาดตกบกพร่องในเรื่องของอะไร

        • สามารถนั่งอ่านหนังสือได้โดยไม่วอกแวก มีสมาธิ มีความตั้งใจ โฟกัสเนื้อหาที่อยู่ตรงหน้าได้โดยไม่โดนสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวมาเบี่ยงเบนความสนใจออกไป
        • สามารถอธิบายสิ่งที่เรียนรู้ไปก่อนหน้านั้นออกมาเป็นคำพูดได้ สามารถอธิบายหรือเล่าให้เพื่อนๆฟังได้
        • ไม่สามารถนอนให้ตรงเวลาที่ตั้งใจไว้ เช่น ตั้งใจไว้ว่าจะนอน 23.30 แต่ได้นอนจริงๆเวลา 01.30 แสดงว่าเราบกพร่องในด้านของ rest and sleep ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเรียนในวันต่อๆไป เพราะฉะนั้นเราก็ควรปรับปรุงและพัฒนาในจุดนี้
        • ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาเคมีได้ภายในการเรียนเพียงครั้งเดียว ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจนานกว่าที่ควรจะเป็น

        5. เราควรรู้ว่าเราควรพัฒนาทักษะอะไรเพิ่มเติมหรือไม่เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่เราวางไว้ อาจเป็นทักษะอื่นๆที่อาจมาช่วยเสริมความสามารถของเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายแต่เป็นทักษะย่อยๆที่เราพัฒนาแล้วเกิดผลดีต่อตัวของเราเอง ซึ่งเมื่อเราพิจารณาว่าทำแล้วจะเกิดผลที่ดี เราก็เริ่มลงมือทำ

          • ทักษะในด้านการจัดการเวลา เราควรแบ่งเวลาให้มีความสมดุลมากยิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้มีปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการเรียน เช่น เวลานอนหากกำหนดไว้ว่าควรนอน จะนอนให้ครบ8ชั่วโมง เราก็ควรนอนตามเวลาที่เราได้วางไว้เพื่อให้ร่างกายของเราได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ
          • ในเมื่อมีปัญหาในวิชาเคมีจึงต้องให้ความสำคัญกับวิชานี้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นอาจส่งผลต่อเป้าหมายของเราในอนาคตได้ ตั้งใจเรียนให้มากขึ้น หาเวลาทบทวนเนื้อหามากขึ้นโดยอาจใช้เวลาหลังเลิกเรียนหรือลดเวลาที่ใช้ไปกับการดูหนังฟังเพลงมาแบ่งให้กับการทบทวนเนื้อหาวิชานี้ หากยังมีปัญหาไม่สามารถที่จะเรียนรู้ได้ด้วยตนเองได้ อาจให้เพื่อนๆที่เก่งในวิชานี้เป็นคนช่วยติวหรืออาจปรึกษากับอาจารย์ประจำวิชาเป็นการส่วนตัว (เราต้องรู้ว่าเรามีปัญหาและต้องรู้จักวางแผนเพื่อที่จะแก้ไขปัญหานั้น พัฒนาตนเองในด้านที่บกพร่องเพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายที่ได้วางไว้)
          • แบ่งเวลาในการทบทวนเนื้อหาที่ได้เรียนไปเพราะการเรียนออนไลน์ต้องหมั่นทบทวนเนื้อหาอยู่เสมอเนื่องจากไม่มีเพื่อนหรืออาจารย์คอยเตือนเราหรือช่วยเราได้ในทันที ฉะนั้นในจุดนี้การที่เราต้องมีความรับผิดชอบในตนเองมากขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
          • ในการเรียนให้จบภายใน 4ปีของมหาวิทยาลัยมหิดลจำเป็นต้องสอบ MU-ELT ให้ได้84คะแนนขึ้นไป(กรณีที่ไม่ได้ใช้คะแนนอื่นยื่น ซึ่งผู้เขียนตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะใช้คะแนนตัวนี้ยื่นเพื่อเรียนจบ) ฉะนั้นควรพัฒนาทักษะด้านภาษาไปพร้อมๆกับการเรียนวิชาอื่น เช่น หมั่นท่องศัพท์วันละ10คำโดยทำให้เป็นนิสัย ทำเป็นประจำทุกวัน, ดูรายการที่ใช้ภาษาอังกฤษหรืออ่านข่าวภาษาอังกฤษ( BBC ) เพื่อให้เราคุ้นชินกับภาษาที่นำไปใช้จริง (จะได้รู้ว่าคำศัพท์ไหนควรนำไปใช้ในบริบทไหน), หาเพื่อนต่างชาติเพื่อที่เราจะได้นำภาษาที่เราฝึกฝนมามาใช้จริงๆในชีวิตประจำวัน

          [ สังเกตได้ว่าเรามีการพัฒนาทักษะในหลายๆด้านทั้ง communication , process skills ทักษะเหล่านี้จะช่วยทำให้เราเกิดการพัฒนา เกิดการปรับตัวและนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายในอนาคต ]

          6. ในส่วนนี้จะเป็นการถามตัวเองเพื่อให้ครอบคลุมทั้ง volition, habituation, performance capacity ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆในการมองตัวเองและทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นเราทำไปเพื่ออะไร ถูกต้องหรือไม่ ทำให้เรารู้ถึงคุณค่าของการกระทำ

            • สาเหตุที่เราต้องตั้งใจเรียน หมั่นทบทวนเนื้อหานั่นก็เพราะเราอยากจะเรียนจบภายใน 4 ปี เรามีความตั้งใจและมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการ กระทำ มีความมุ่งมั่น อยากจะทำให้สำเร็จเพราะครอบครัวจะได้ภูมิใจ จบไปมีงานดีๆรองรับ
            • การเรียนนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญในฐานะที่เราเป็นนักศึกษา หน้าที่สำคัญคือต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และเราทำจนเป็นนิสัย ทำเป็นประจำทุกๆวันจนเกิดเป็นบทบาท เราเป็นลูกศิษย์ที่ดีของอาจารย์ เราเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่เป็นลูกที่เชื่อฟังคำสั่งของผู้ปกครอง
            • เรามีความมุ่งมั่นในการที่จะพัฒนาความสามารถอยู่เสมอเพื่อที่บรรลุเป้าหมายในอนาคต มีการพัฒนาทักษะอย่างสม่ำเสมอและมีความคิดว่าเราจะเรียนจบได้อย่างที่เราหวังไว้ แต่จะให้ดีถ้าเราสามารถพัฒนาตนเองไปได้สูงยิ่งขึ้น เราอาจเรียนจบ4ปีพร้อมกับได้รับเกียรตินิยมด้วยซึ่งอาจเป็นความสามารถสูงสุดที่เราสามารถทำได้เกินจากเป้าหมายที่เราตั้งไว้ ก็เป็นเรื่องดีถ้าเราทำให้เกิดขึ้นได้

            [ สรุป : เรามีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะเรียนให้จบ4ปีจริงๆ หมั่นตั้งใจเรียนจนเป็นนิสัย เป็นบทบาทที่เราทำเป็นประจำทุกวัน(นักศึกษา)และสามารถแสดงความสามรถออกมาได้อย่างเต็มที่เพราะสาขานี้เป็นสาขาที่เราเลือกเข้ามาเรียนด้วยความสนใจของเราตั้งแต่แรก ทำให้เรามีจิตใจที่พร้อมที่จะเรียนรู้ มีแรงใจที่จะพัฒนาตนเอง เมื่อมีคลาสเรียนเราก็ต้องเรียนอย่างสุดความสามารถ หมั่นทำคะแนนสอบให้ออกมาดี ในท้ายที่สุดเราจะบรรลุเป้าหมายการเรียนจบปริญญาตรีภายใน 4 ปีอย่างแน่นอน ] 


            7. ในการที่เราจะประสบความสำเร็จ เราจำเป็นที่จะต้องมองสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวที่อาจมีผลต่อเป้าหมายของเราด้วยเช่นกัน

              • การสนับสนุนของครอบครัว เศรษฐกิจการเงิน ค่าเทอมตลอดการศึกษาทั้ง4ปี หากเราไม่ได้รับการสนับสนุนด้านนี้ก็อาจส่งผลต่อเป้าหมายซึ่งก็คือการเรียนจบของเราได้หรือเราอาจจะต้องลำบากต้องเพิ่มoccupationที่จำเป็นขึ้นมาช่วยเสริมด้านนี้ เช่น การทำงานพิเศษเพื่อหารายได้เสริมนอกเวลาเรียน
              • หากเป็นการเรียนออนไลนื เทคโนโลยีของเรานั้นพร้อมที่จะเรียนหรือไม่ สภาพแวดล้อมที่เราอยู่ส่งผลกระทบต่อการเรียนมากน้อยแค่ไหน ในส่วนของผู้เขียนนั้นมีห้องส่วนตัว สภาพแวดล้อมเงียบสงบไร้เสียงรบกวน บรรยากาศเอื้ออำนวยให้เกิดการเรียนรู้ ซึ่งการเรียนในสภาพแวดล้อมแบบนี้จะส่งผลให้เราแสดง performance ออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากกว่าคนที่เรียนในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังรบกวนหรือเทคโนโลยีไม่เอื้ออำนวย



              “ MoHo เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เรารู้จักตนเอง รู้ว่าตนเองต้องการอะไร

              ทำให้เรามีเป้าหมายในการดำเนินชีวิต ซึ่งจุดนี้จะเป็นส่วนที่ช่วยส่งเสริมให้

              เราเกิดการพัฒนาตนเองและพัฒนาไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอนจนนำไปสู่การ

              ประสบความสำเร็จและบรรลุเป้าหมายที่เราได้วางไว้  "


              หมายเลขบันทึก: 685138เขียนเมื่อ 27 ตุลาคม 2020 03:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 ตุลาคม 2020 13:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


              ความเห็น (0)

              ไม่มีความเห็น

              พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
              ClassStart
              ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
              ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
              ClassStart Books
              โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท