พระไตรปิฎกอ่านง่าย เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ เรื่องที่ ๘๐ เวขณสสูตร เรื่องวรรณะที่ยอดเยี่ยม


๘๐. เวขณสสูตร  เรื่องวรรณะที่ยอดเยี่ยม

ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ครั้งนั้น ปริพาชกชื่อเวขณสะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่สมควร แล้วได้เปล่งอุทานในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า นี้เป็นวรรณะสูงสุด นี้เป็นวรรณะสูงสุด

ทรงเปรียบเทียบวรรณะ ๒ อย่าง

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า กัจจานะ ทำไมท่านจึงกล่าวอย่างนี้ว่า นี้เป็นวรรณะสูงสุด นี้เป็นวรรณะสูงสุด วรรณะสูงสุดนั้นเป็นอย่างไร

เวขณสปริพาชกทูลตอบว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม วรรณะใดไม่มีวรรณะอื่นยิ่งกว่า หรือประณีตกว่า วรรณะนั้นเป็นวรรณะสูงสุด

วรรณะนั้นเป็นวรรณะไหนเล่า

วรรณะใดไม่มีวรรณะอื่นยิ่งกว่า หรือประณีตกว่า วรรณะนั้นเป็นวรรณะสูงสุด พระพุทธเจ้าข้า

ท่านกล่าวแต่เพียงว่า วรรณะใดไม่มีวรรณะอื่นยิ่งกว่า หรือประณีตกว่าวรรณะนั้นเป็นวรรณะสูงสุด คำที่ท่านกล่าวนั้นพึงขยายความได้อย่างยืดยาว แต่ท่านไม่ชี้วรรณะนั้นให้ชัด เปรียบเหมือนชายคนหนึ่งปรารภถึงหญิงสาวอย่างนี้ว่า เราปรารถนารักใคร่หญิงงามแห่งชนบทนี้ คนจะถามเขาว่า พ่อคุณ เธอรู้จักหญิงคนนั้นหรือว่า เป็นนางกษัตริย์ นางพราหมณี นางแพศย์ หรือนางศูทร เมื่อถูกถามอย่างนี้ เขาจะตอบว่า ไม่รู้จัก จะถูกถามต่อไปว่า เธอรู้จักหญิงคนนั้น หรือว่ามีชื่อ ตระกูล สูง ต่ำ สันทัด ดำ คล้ำ หรือผิวเหลือง อยู่ในหมู่บ้าน นิคมหรือเมืองโน้น เมื่อถูกถามอย่างนี้ เขาจะตอบว่า ยังไม่รู้จัก จะถูกถามต่อไปว่า เธอปรารถนารักใคร่หญิงที่ยังไม่เคยรู้จัก ทั้งไม่เคยเห็นอย่างนั้นหรือ เมื่อถูกถามอย่างนี้ เขาจะตอบว่า ใช่

ท่านเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้ คำพูดของชายผู้นั้นถือว่า เลื่อนลอย มิใช่หรือ

คำพูดของชายผู้นั้นถือว่าเลื่อนลอยแน่นอน พระพุทธเจ้าข้า

กัจจานะ ท่านก็อย่างนั้นเหมือนกัน กล่าวอยู่แต่เพียงว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม วรรณะใดไม่มีวรรณะอื่นยิ่งกว่า หรือประณีตกว่า วรรณะนั้นเป็นวรรณะสูงสุด แต่ไม่ได้ชี้วรรณะนั้นให้ชัด

ท่านพระโคดม แก้วไพฑูรย์อันงามเกิดเองอย่างบริสุทธิ์แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว ซึ่งเขาวางไว้ที่ผ้ากัมพลเหลือง ย่อมส่องแสงสว่างเป็นประกายออกมา แม้ฉันใด อัตตา ที่มีวรรณะก็ฉันนั้นเหมือนกัน หลังจากตายไปย่อมเป็นของยั่งยืน

กัจจานะ ท่านเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร แก้วไพฑูรย์อันงามเกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว ซึ่งเขาวางไว้ที่ผ้ากัมพลเหลือง ย่อมส่องแสงสว่างเป็นประกายออกมากับหิ่งห้อยในราตรีที่มีเดือนมืด วรรณะไหนจะส่องสว่างกว่าและประณีตกว่ากัน

หิ่งห้อยในราตรีที่มีเดือนมืดนี้ย่อมส่องสว่างกว่าและประณีตกว่า พระพุทธเจ้าข้า

หิ่งห้อยในราตรีที่มีเดือนมืด กับประทีปน้ำมันในราตรีที่มีเดือนมืด วรรณะไหนจะส่องสว่างกว่าและประณีตกว่ากัน

ประทีปน้ำมันในราตรีที่มีเดือนมืด ส่องสว่างกว่าและประณีตกว่า พระพุทธเจ้าข้า

ประทีปน้ำมันในราตรีที่มีเดือนมืด กับกองไฟใหญ่ในราตรีที่มีเดือนมืด วรรณะไหนจะส่องสว่างและประณีตกว่ากัน

กองไฟใหญ่ในราตรีที่มีเดือนมืดส่องสว่างกว่าและประณีตกว่า พระพุทธเจ้าข้า

กองไฟใหญ่ในราตรีที่มีเดือนมืด กับดาวศุกร์ในนภากาศอันกระจ่าง ปราศจากเมฆ ในเวลาใกล้รุ่ง วรรณะไหนจะส่องสว่างกว่าและประณีตกว่ากัน

ดาวศุกร์ในนภากาศอันกระจ่าง ปราศจากเมฆ ในเวลาใกล้รุ่งส่องสว่างกว่า และประณีตกว่า พระพุทธเจ้าข้า

ดาวศุกร์ในนภากาศ อันกระจ่างปราศจากเมฆในเวลาใกล้รุ่ง กับดวงจันทร์เวลาเที่ยงคืนตรง ในนภากาศ อันกระจ่างปราศจากเมฆในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ วรรณะไหนจะส่องสว่างสว่างกว่าและประณีตกว่ากัน

ดวงจันทร์เวลาเที่ยงคืนตรง ในนภากาศอันกระจ่างปราศจากเมฆ ในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำนี้ส่องสว่างกว่าและประณีตกว่า พระพุทธเจ้าข้า

ดวงจันทร์เวลาเที่ยงคืนตรง ในนภากาศอันกระจ่างปราศจากเมฆ ในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ กับดวงอาทิตย์ในเวลาเที่ยงตรง ในนภากาศอันกระจ่างปราศจากเมฆ ในสารทกาลเดือนท้ายแห่งฤดูฝน วรรณะไหนจะงามกว่าและประณีตกว่ากัน

ดวงอาทิตย์เวลาเที่ยงตรงในนภากาศอันกระจ่างปราศจากเมฆ ในสารทกาลเดือนท้ายแห่งฤดูฝนนี้ ส่องสว่างกว่าและประณีตกว่า

กัจจานะ เทวดาเหล่าใดไม่อาศัยแสงดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ เทวดาเหล่านั้น มีมาก มีมากยิ่งกว่าเหล่าเทวดาที่อาศัยแสงดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ เรารู้ทั่วถึงเทวดาเหล่านั้น แต่เราก็ไม่กล่าวว่า เป็นวรรณะที่ไม่มีวรรณะอื่นยิ่งกว่าหรือประณีตกว่า ส่วนท่านกล่าวว่า วรรณะที่เลวกว่าและเศร้าหมองกว่าหิ่งห้อยนั้นเป็นวรรณะที่สูงสุด แต่ท่านไม่ชี้วรรณะนั้นให้ชัด

กัจจานะ กามคุณมี ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ

๑. รูปที่จะพึงรู้แจ้งทางตา ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รักใคร่ พาใจให้กำหนัด

๒. เสียงที่จะพึงรู้แจ้งทางหู ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รักใคร่ พาใจให้กำหนัด

๓. กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งทางจมูก ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รักใคร่ พาใจให้กำหนัด

๔. รสที่จะพึงรู้แจ้งทางลิ้น ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รักใคร่ พาใจให้กำหนัด

๕. โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งทางกาย ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รักใคร่ พาใจให้กำหนัด

สุข โสมนัสที่อาศัยกามคุณ ๕ ประการนี้เกิดขึ้น เราเรียกว่า กามสุข

ดังนั้น ในกามและกามสุขนั้น เราจึงกล่าวกามสุขว่าเลิศกว่ากามทั้งหลาย แต่กล่าวสุขอันเลิศกว่ากาม ว่าเลิศกว่ากามสุข

สรรเสริญสุขอันเลิศกว่ากาม

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว เวขณสปริพาชกได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

ท่านพระโคดม น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ ข้อที่ในกามและกามสุขนั้น ท่านพระโคดมตรัสกามสุขว่าเลิศกว่ากามทั้งหลาย แต่ตรัสสุขอันเลิศกว่ากามว่าเลิศกว่ากามสุข ชื่อว่าตรัสดีแล้ว

กัจจานะ ข้อที่ว่า กามก็ดี กามสุขก็ดี สุขอันเลิศกว่ากามก็ดี นี้เธอผู้มีทิฏฐิแตกต่างกัน มีความถูกใจแตกต่างกัน มีความพอใจแตกต่างกัน มีความมุ่งหมายแตกต่างกัน มีอาจารย์แตกต่างกัน จึงรู้ได้ยาก ภิกษุเหล่าใดเป็นอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนโดยลำดับแล้ว สิ้นภวสังโยชน์แล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุเหล่านั้น  จะพึงรู้กาม กามสุข หรือสุขอันเลิศกว่ากามนี้ได้

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว เวขณสปริพาชก โกรธ ไม่พอใจ เมื่อจะด่าว่าเย้ย หยันพระผู้มีพระภาค คิดว่า เราจักทำให้พระสมณโคดมได้รับความเสียหาย จึงได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น สมณพราหมณ์บางพวกในโลกนี้ ไม่รู้เงื่อนเบื้องต้น ไม่เห็นเงื่อนเบื้องปลาย แต่ยังยืนยันอยู่ว่า เรารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป คำกล่าวของสมณพราหมณ์เหล่านั้นถึงความเป็นคำน่าหัวเราะ เป็นคำต่ำช้า เป็นคำเปล่า เป็นคำเหลวไหลทีเดียว

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า กัจจานะ สมณพราหมณ์เหล่าใด เมื่อไม่รู้เงื่อนเบื้องต้น ไม่เห็นเงื่อนเบื้องปลาย ยังยืนยันว่า เรารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป สมณพราหมณ์เหล่านั้นถูกข่มก็ชอบอยู่ แต่จงงดเงื่อนเบื้องต้นและเงื่อนเบื้องปลายไว้ก่อน ขอให้วิญญูชนผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา เป็นคนซื่อตรง จงมาเถิด เราจะสั่งสอน เราจักแสดงธรรม เมื่อเขาปฏิบัติตามคำพร่ำสอน ไม่นานก็จักรู้เอง เห็นเอง ได้ทราบว่าความหลุดพ้นโดยชอบจากเครื่องผูกคืออวิชชาก็เป็นอย่างนั้น

กัจจานะ เด็กอ่อนที่ยังนอนหงาย ถูกเครื่องผูกที่ทำด้วยด้ายผูกไว้ที่ข้อเท้าทั้งสอง ที่ข้อมือทั้งสอง และที่คอรวมเป็น ๕ แห่ง เครื่องผูกเหล่านั้นจะหลุดไปเมื่อเด็กเติบโตขึ้น และมีร่างกายแข็งแรงขึ้น เขาจึงรู้ว่า เราหลุดพ้นแล้วและเครื่องผูกก็ไม่มีแก่เรา แม้ฉันใด วิญญูชน ผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา เป็นคนซื่อตรง ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

ปริพาชกชื่อเวขณสะแสดงตนเป็นอุบาสก

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว เวขณสปริพาชกได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคขอแสดงตนเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต ดังนี้

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ เรื่องที่ ๑๐ เวขณสสูตร 

หมายเลขบันทึก: 679744เขียนเมื่อ 30 กรกฎาคม 2020 21:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 กรกฎาคม 2020 21:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท