บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบการคิดอย่างมีวิจารณญาณและคุณลักษณะใฝ่เรียนรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ที่เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ก่อนและหลังการจัดเรียนรู้แบบใช้ปัญหาฐาน 2) เพื่อเปรียบเทียบการคิดอย่างมีวิจารณญาณและคุณลักษณะใฝ่เรียนรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ที่เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม หลังการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน กับ การจัดการเรียนรู้ตามคู่มือครูของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนนครหลวง
(พิบูลประเสริฐวิทย์) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน จากโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 จากระดับอำเภอ ได้อำเภอนครหลวง และสุ่มโรงเรียน ได้โรงเรียนนครหลวง (พิบูลประเสริฐวิทย์) จำนวน 2 ห้องเรียนห้องเรียนละ 30 คน ซึ่งเป็นห้องเรียนที่จัดตามสภาพจริง จากนั้นจับฉลากเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมได้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 เป็นกลุ่มทดลอง โดยจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 เป็นกลุ่มควบคุม
โดยจัดการเรียนรู้ตามคู่มือครูของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระยะเวลาในการทดลองกลุ่มละ
20 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน แผนการจัดการเรียนรู้ตามคู่มือครูของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน แบบวัดการคิดอย่างมีจารณญาณมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .89 และแบบประเมินคุณลักษณะใฝ่เรียนรู้มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .85 ใช้แผนแบบการวิจัยกึ่งทดลองสองกลุ่มสอบก่อนและหลังการทดลอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนหลายตัวแปร
ผลการวิจัยพบว่า 1) การคิดอย่างมีวิจารณญาณและคุณลักษณะใฝ่เรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา
ที่จัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2)การคิดอย่างมีวิจารณญาณและคุณลักษณะใฝ่เรียนรู้ หลังการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน ของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษา สูงกว่าหลังการจัดการเรียนรู้ตามคู่มือครูของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ไม่มีความเห็น