ขั้นตอนการตัดสินใจ The Ladder of Inference
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
[email protected]
21 กันยายน 2562
บทความเรื่อง ขั้นตอนการตัดสินใจ ( The Ladder of Inference ) รวบรวมและเรียบเรียงมาจากบทความทางอินเตอร์เน็ตหลาย ๆ ตอน เช่น https://www.mindtools.com/pages/article/newTMC_91.htm , https://www.toolshero.com/decision-making/ladder-of-inference/ , https://thesystemsthinker.com/the-ladder-of-inference/ และอื่น ๆ
ผู้ที่สนใจบทความนี้แบบ PowerPoint (PDF file) สามารถ Download ได้ที่ https://www.slideshare.net/maruay/ladder-of-inference-174529516
เกริ่นนำ
เราเคยมีความขัดแย้งหรือถกเถียงกับใครบางคนในกลุ่ม และสงสัยว่าสิ่งที่เราเห็นแตกต่างกันอย่างไร หรือเคยถูกคนอื่นกล่าวหาว่า เป็นคนชอบข้ามไปสู่ข้อสรุปหรือไม่?
เหตุผลที่เรากระโดดไปสู่ข้อสรุป สามารถอธิบายได้ด้วย แบบจำลองทางจิต ( mental model) ที่เรียกว่า "บันไดแห่งการอนุมาน ( Ladder of Inference)"
แบบจำลองนี้ อธิบายวิธีที่เราคิดอย่างรวดเร็วและโดยไม่รู้ตัว จากข้อเท็จจริงของสถานการณ์ไปสู่ข้อสรุป (และบางครั้งเป็นข้อสรุปที่ผิด)
วิธีหลีกเลี่ยงการกระโดดไปสู่ข้อสรุป
ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน เรามักจะถูกกดดันให้กระทำการโดยทันที แทนที่จะใช้เวลาในการคิดหาเหตุผลและคิดถึงข้อเท็จจริง
สิ่งนี้ไม่เพียงจะนำเราไปสู่ข้อสรุปที่ผิด แต่ยังอาจทำให้เกิดความขัดแย้งกับคนอื่น ซึ่งอาจได้ข้อสรุปที่แตกต่างกันในเรื่องเดียวกัน
เราต้องแน่ใจว่า การกระทำและการตัดสินใจของเรานั้น ขึ้นกับความเป็นจริง ซึ่ง " Ladder of Inference" ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายนี้ได้
Ladder of Inference คืออะไร
Ladder of Inference ( บางครั้งเรียกว่าProcess of Abstraction) สามารถช่วยไม่ให้ข้ามไปสู่ข้อสรุปก่อนเวลาอันควร และให้ใช้เหตุผลบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง
Ladder of Inference ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกระบวนการทางจิต ที่เกิดขึ้นภายในสมองของมนุษย์ ซึ่งใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที นั่นคือเหตุผลที่ผู้คนไม่ตระหนักว่า พวกเขากระทำหรือตอบสนองโดยไม่รู้ตัว
Ladder of Inference แสดงให้เห็นว่า แบบจำลองทางจิตเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวได้อย่างไร
ทำความเข้าใจกับทฤษฎี
Ladder of Inference ถูกนำเสนอครั้งแรกโดยนักจิตวิทยาองค์กรChris Argyris และใช้โดย Peter Senge ใน วินัยที่ห้า: ศิลปะและการปฏิบัติขององค์กรแห่งการเรียนรู้ ( The Fifth Discipline: The Art and Practice of the Learning Organization )
Ladder of Inference อธิบายขั้นตอนการคิด ที่เราดำเนินการโดยไม่ได้ตระหนัก ในการตัดสินใจหรือการกระทำ ซึ่งมี 7 ขั้นตอน
ขั้นที่ 1. ความจริงและข้อเท็จจริง ( Reality and facts)
ในขั้นตอนแรก เราสังเกตสิ่งต่าง ๆ หรือข้อเท็จจริงของสถานการณ์
เป็นการระบุสิ่งที่เห็นได้โดยตรง ใช้การสังเกตข้อมูลทั้งหมดจากโลกแห่งความจริง
ข้อมูลที่สังเกตได้โดยตรงทั้งหมดที่ล้อมรอบเราในชีวิตประจำวัน รวมถึงคำพูดของผู้คน น้ำเสียง และการเคลื่อนไหวของร่างกาย สถิติจากการสำรวจการตลาด รายงานการบัญชี และอื่น ๆ
ขั้นที่ 2. การเลือกข้อเท็จจริง ( Selecting facts)
ในขั้นตอนที่สอง จิตใจของเราจะกรองข้อมูลที่เราคิดว่าไม่เกี่ยวข้องออกไปโดยอัตโนมัติ ตามความเชื่อและประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของเรา
ข้อเท็จจริง จะถูกเลือกตามความเชื่อมั่นและประสบการณ์ ซึ่ง กรอบอ้างอิง ( Frame of reference) มีบทบาทในเรื่องนี้
เนื่องจากเราไม่สามารถให้ความสนใจกับข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมด ในบางครั้ง เราจึงใส่ใจเกี่ยวกับข้อมูลที่จะเลือกและสิ่งที่ควรละเว้น บ่อยครั้งที่กระบวนการคัดเลือกเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ขั้นที่ 3. การตีความข้อเท็จจริง ( Interpreting facts)
ในขั้นตอนที่สามนี้ เรากำหนดหรือตีความความหมายของข้อมูล/ข่าวสาร/การสังเกต/ประสบการณ์/สถานการณ์
ข้อเท็จจริงถูกตีความ และให้ความหมายส่วนตัว
ข้อมูลที่เราเลือก รวมถึงการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ (ภาษาพูด การสื่อสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร และท่าทาง) เราจะใช้คำของเราเองในสิ่งที่บุคคลนั้นพูดหรือทำ
ขั้นที่ 4. ข้อสมมติฐาน ( Assumptions)
ขั้นต่อไป เราใช้สมมติฐานที่มีอยู่ของเรา (บางครั้งโดยไม่พิจารณา) และพัฒนาสมมติฐานเพิ่มเติม ตามการตีความของสถานการณ์
ขั้นตอนนี้ มีการตั้งสมมติฐานตามความหมายที่เราให้กับการสังเกต สมมติฐานเหล่านี้เป็นเรื่องส่วนตัว และแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละบุคคล
ขั้นที่ 5. สรุปผล ( Conclusions)
ในขั้นตอนที่ห้า เราได้ข้อสรุป (และปฏิกิริยาทางอารมณ์) ตามการตีความและการตั้งสมมติฐานของเรา
ในขั้นตอนนี้ ข้อสรุปจะมาจากความเชื่อเดิม
ขั้นที่ 6. ความเชื่อ ( Beliefs)
จากข้อสรุปของเรา เรายืนยันหรือปรับความเชื่อของเรา เกี่ยวกับสถานการณ์ บริบท และโลกรอบตัวเรา
ในขั้นตอนนี้ ข้อสรุปจะขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ถูกตีความ และสมมติฐานก่อนหน้า
ขั้นที่ 7. การกระทำ ( Actions)
ในที่สุด เราก็ลงมือทำ ที่ดูเหมือนถูกต้องตามความเชื่อของเรา การกระทำของเรานั้นจะเปลี่ยนสถานการณ์ และสร้างชุดสถานการณ์ขึ้นมาใหม่
นี่คือระดับสูงสุด การกระทำจะขึ้นอยู่กับความเชื่อและข้อสรุปก่อนหน้านี้ เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะดีที่สุดในขณะนั้น
บันไดแห่งการอนุมาน ( The Ladder of Inference)
เริ่มต้นที่ด้านล่างของบันได ที่มีความจริงและข้อเท็จจริง จากนั้นเราจะเลือกตามความเชื่อและประสบการณ์ก่อนหน้าของเรา ตีความสิ่งที่เรารับทราบ แล้วใช้สมมติฐานที่มีอยู่ของเรา (บางครั้งโดยไม่พิจารณา) เป็นข้อสรุป บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงจากการตีความและสมมติฐานของเรา แล้วพัฒนาความเชื่อตามข้อสรุปเหล่านี้ จากนั้นจะดำเนินการที่ดูเหมือนว่า "ถูกต้อง" ที่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเชื่อ ผลกระทบของการกระโดดขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว
ข้อสรุปของเรา ดูชัดเจนว่าถูกต้องสำหรับเรา
ผู้คนมีข้อสรุปที่แตกต่างกัน เมื่อแต่ละคนคิดว่าข้อสรุปของตนเองมีความชัดเจน พวกเขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะพูดว่า ได้ข้อสรุปมาได้อย่างไร
ผู้คนมักเห็นข้อสรุปที่แตกต่างของผู้อื่นว่าผิดอย่างเด่นชัด และคิดค้นเหตุผลเพื่ออธิบายว่า ทำไมคนอื่นพูดในสิ่งที่ผิด
เมื่อผู้คนไม่เห็นด้วย พวกเขามักจะสรุปมาจากด้านบนสุดของบันได ทำให้ยากที่จะแก้ไขความแตกต่างและเรียนรู้จากกันและกัน
ปัญหาใหญ่
ปัญหาคือ เราคิดว่าคนอื่นควรมองโลกเหมือนกับเรา ดังนั้นเมื่อเราไม่เห็นด้วยกับคนอื่น เรามักจะไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับข้อสรุป
เราคิดว่า เราได้เลือกชุดข้อมูลย่อยเดียวกันและตีความความหมายในลักษณะเดียวกัน สมมติฐานของเราควรเหมือนกัน ดังนั้นเราจึง “กระโดด ( leap)” ขั้นบันไดโดยไม่รู้ตัว โดยไม่ได้ทดสอบสมมติฐานพื้นฐาน
นั่นคือสิ่งที่เราพูดว่าบางคน “ชอบกระโดดไปสู่ข้อสรุป ( jumping to conclusions)”
การใช้ทฤษฎี
Ladder of Inference ช่วยให้เราสรุปได้ดีขึ้น หรือท้าทายข้อสรุปของคนอื่น โดยยึดตามข้อเท็จจริงและความจริง
เราสามารถใช้เพื่อช่วยตรวจสอบหรือคัดค้านข้อสรุปของคนอื่น
กระบวนการให้เหตุผลทีละขั้นตอนนี้ช่วยให้เรายังคงรักษาเป้าหมาย และเมื่อทำงานร่วมหรือท้าทายผู้อื่น เพื่อให้บรรลุข้อสรุปร่วมกันโดยไม่มีข้อขัดแย้ง
การประยุกต์
การใช้ Ladder of Inference สอนให้เราดูข้อเท็จจริงที่เป็นกลาง และไม่ตัดสินเร็วเกินไป เป็นวิธีที่ให้ความเชื่อมั่นและประสบการณ์ในทางบวก
Ladder of Inference สามารถใช้ได้สามวิธีดังต่อไปนี้:
1. ตระหนักถึงความคิดและเหตุผลของเราเอง
2. สร้างความชัดเจนให้ผู้อื่นเห็นว่า กระบวนการใช้เหตุผลของเราทำงานอย่างไร ช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจถึงแรงจูงใจได้ดีขึ้น
3. ศึกษากระบวนการคิดของผู้อื่น โดยการถามพวกเขาอย่างกระตือรือร้น
เคล็ดลับที่ 1
ใช้ Ladder of Inference ในทุกขั้นตอน ของกระบวนการคิดของเรา โดยถามคำถามต่อไปนี้:
นี่คือข้อสรุปที่ "ถูกต้อง" หรือไม่?
ทำไมเราจึงใช้สมมติฐานเหล่านี้ ?
เหตุใดเราจึงคิดว่า นี่เป็นสิ่งที่ "ถูกต้อง" ที่สมควรทำ ? สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงทั้งหมดหรือไม่?
ทำไมเขาถึงเชื่อเช่นนั้น?
ใช้ขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อท้าทายการคิดโดยใช้ Ladder of Inference คือ
หยุด! ถึงเวลาพิจารณาเหตุผล
ให้ระบุ ตำแหน่ง ของขั้นที่อยู่บนบันได
การเลือกข้อมูลหรือความเป็นจริง?
การตีความว่าหมายถึงอะไร?
การสร้างหรือทดสอบสมมติฐาน?
การสร้างหรือทดสอบข้อสรุป?
ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร และทำไม?
จากขั้นบันไดในปัจจุบัน วิเคราะห์เหตุผล โดยการลงบันได สิ่งนี้จะช่วยให้เราสามารถติดตามข้อเท็จจริงและความเป็นจริงที่เราใช้
ในแต่ละขั้นตอนถามตัวเองว่า เรากำลังคิดอะไรอยู่และทำไม ขณะวิเคราะห์แต่ละขั้นตอน เราอาจจำเป็นต้องปรับการให้เหตุผล
คำถามต่อไปนี้จะช่วยให้เราทำงานย้อนหลังได้ (ลงบันไดโดยเริ่มจากด้านบน) คือ
เหตุใดเราจึงเลือกแนวทางการดำเนินการนี้ มีการกระทำอื่น ๆ ที่เราควรพิจารณาอีกหรือไม่?
ความเชื่ออะไรนำไปสู่การกระทำนั้น? มันเป็นหลักฐานที่ดีหรือไม่?
ทำไมเราถึงได้ข้อสรุปนั้น เป็นบทสรุปที่ดีหรือไม่?
เรากำลังคาดเดาอะไรอยู่และทำไม? สมมติฐานของเราถูกต้องหรือไม่?
เราเลือกใช้ข้อมูลอะไรและทำไม? เราได้เลือกข้อมูลอย่างจริงจังหรือไม่?
อะไรคือความจริงที่เราควรใช้? มีข้อเท็จจริงอื่นอีกที่เราควรพิจารณาอีกหรือไม่?
เคล็ดลับที่ 2
เมื่อเราทำงานด้วยเหตุผล ให้ระวังขั้นตอนที่เรามักจะกระโดดข้าม เราตั้งสมมติฐานง่ายเกินไปหรือไม่? เราเลือกเพียงบางส่วนของข้อมูลหรือไม่? จดบันทึกแนวโน้มเพื่อให้เราเรียนรู้ที่จะทำตามขั้นตอนของการให้เหตุผล ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษในอนาคต
ด้วยความรู้สึกใหม่ของการให้เหตุผล (และอาจเป็นขอบเขตข้อมูลที่กว้างขึ้นและมีการพิจารณาที่มากกว่าเดิม) ทำให้เราสามารถทำงานต่อไปได้อีกครั้ง (แบบเป็นขั้นเป็นตอน) ขึ้นไปตามขั้นบันได
เคล็ดลับที่ 3
ลองอธิบายเหตุผลของเราต่อเพื่อนร่วมงาน สิ่งนี้จะช่วยให้เราตรวจสอบว่า ข้อโต้แย้งของเรานั้นดีเพียงพอหรือไม่
หากเรากำลังท้าทายข้อสรุปของคนอื่น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะสามารถอธิบายเหตุผลของเราให้กับบุคคลนั้น ในแบบที่ช่วยให้บรรลุข้อสรุปร่วมกันและหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
แนวทางทั่วไป
ให้สังเกตว่า ข้อสรุปของเราเป็นข้อสรุปโดยอิงจากการอนุมาน ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
ให้สมมติว่า กระบวนการให้เหตุผลของเรา อาจมีช่องว่างหรือข้อผิดพลาดที่เราไม่เห็น
ใช้ตัวอย่างเพื่อแสดงข้อมูลที่เราเลือก ซึ่งนำไปสู่ข้อสรุป
แปลความหมายที่เราได้ยินในสิ่งที่คนอื่นพูด เพื่อตรวจสอบว่าเราเข้าใจถูกต้องหรือไม่
ถามผู้อื่นว่า พวกเขามีวิธีอื่นในการตีความข้อมูล หรือว่าพวกเขาเห็นช่องว่างในความคิดของเราหรือไม่
ขอให้ผู้อื่นแสดงข้อมูลที่พวกเขาเลือก และความหมายที่พวกเขาแปล
การใช้เครื่องมือ
ในการเริ่มต้นใช้เครื่องมือ การตัดสินใจสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ หยุด
นั่นคือ หลีกเลี่ยงการกระโดดไปสู่ข้อสรุป
กลับลงมา
การหวนกลับ เราต้องถามคำถาม
เป็นคำถามว่า "ทำไม" และ "อะไร" ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ใช้ ในการลงบันได
ก้าวไปข้างหน้า
การใช้โมเดลนี้ เราสามารถมองหาช่องว่างในตรรกะได้อย่างมีประสิทธิผล จากนั้น กลับขึ้นบันไดอีกครั้ง ในลักษณะที่เป็นตรรกะ
ความล้มเหลวในการตัดสินใจที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง มีแนวโน้มที่จะจบลงด้วยการตัดสินใจที่ไม่ดีในตอนท้าย
ประเด็นสำคัญ
แนวคิดเบื้องหลัง Ladder of Inference คือ ช่วยเราหลีกเลี่ยงการตัดสินที่ไม่ดี จากประสบการณ์ที่ผ่านมา อคติ หรือปัจจัยอื่น ๆ
เป็นการอธิบายถึงกระบวนการคิดที่เราทำโดยปกติ ที่ไม่ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริง ก่อนการตัดสินใจหรือการกระทำ
ในโมเดลนี้มีบันไดเจ็ดขั้น ที่เป็นตัวแทนของกระบวนการคิดทั่วไป ที่เราใช้ในการตัดสินใจ
นั่นคือ ความจริงและข้อเท็จจริง, ความเป็นจริงที่เลือก, ความเป็นจริงที่ตีความ, ข้อสันนิษฐาน, ข้อสรุป, ความเชื่อ, และการกระทำ
เริ่มต้นที่ด้านล่างสุดของบันได เรามีความเป็นจริงและข้อเท็จจริง ที่คัดเลือกตามความเชื่อและประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของเรา
เราตีความตามสมมติฐานที่มีอยู่ของเรา บางครั้งโดยไม่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน
เราสรุปโดยอิงจากข้อเท็จจริงที่ถูกตีความและสมมติฐานของเรา และพัฒนาความเชื่อบนพื้นฐานของข้อสรุปเหล่านี้
จากนั้นเราจะดำเนินการที่ดูเหมือน 'ถูกต้อง' เพราะสิ่งเหล่านั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเชื่อ
เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่จะตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาใหม่ (แม้ว่าการตัดสินใจเหล่านั้นจะไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง)
เราจะใช้ในสถานการณ์ของตนเองได้อย่างไร
1. รู้ข้อจำกัดของเราเอง ( Be aware of your own limitations) ระวังให้ดีว่า ทุกคนเลือกที่จะกรองจากประสบการณ์ของตัวเอง ตีความสิ่งที่พวกเขาเห็น สร้างสมมุติฐาน และสรุป ที่อาจเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ และเราทุกคนมีจุดบอด
2. ถามสมมติฐานของเราและสมมติฐานของผู้อื่น ( Question your assumptions and the assumptions of others) ลองถามตัวเองว่า เรามองข้ามอะไรไปหรือเปล่า”และขอให้คนอื่นอธิบายสมมติฐานของพวกเขา
3. ทำให้ความคิดของเราชัดเจน ( Make your thinking explicit) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ท้าทาย ซึ่งอาจมีข้อขัดแย้งกับข้อสรุปที่ต่างกัน บางครั้งเราต้องชะลอการอธิบายกระบวนการคิดของเรา และขอให้ผู้อื่นทำเช่นเดียวกัน
¡ ซึ่งพวกเขาอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเรา แต่พวกเขาก็รู้ว่า มีที่มาอย่างไร
ผลกระทบสำหรับผู้นำ
ผู้นำจะต้องรวบรวมและศึกษาข้อมูลก่อนกระโดดไปสู่ข้อสรุป ความล้มเหลวในการศึกษาข้อมูลทั้งหมดก่อให้เกิดการตัดสินใจที่ไม่ดี มีค่าใช้จ่าย และเป็นอันตราย ดังนั้นผู้นำต้อง:
ตระหนักถึงความคิดและการใช้เหตุผลของพวกเขา (สะท้อนความคิดเห็น)
ทำให้คนอื่นเห็นเหตุผลของพวกเขา
ถามสิ่งที่คนอื่นคิด ว่าแตกต่างหรือไม่ อย่างไร
แสวงหาความจริงที่อยู่เบื้องหลังข้อมูล
ถามว่าทุกคนเห็นด้วยกับข้อมูลหรือไม่
ให้ความหมายและสมมติฐานอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล
ตระหนักว่า ความหมายและสมมติฐาน ซึ่งไม่ใช่ความจริง
ตรวจสอบสมมติฐานร่วมกับผู้อื่น
สรุป
การอนุมานแบบขั้นบันได ( The Ladder of Inference) ช่วยให้เราเรียนรู้วิธีกลับไปสู่ข้อเท็จจริง และใช้ความเชื่อและประสบการณ์เพื่อผลในเชิงบวก แทนที่จะปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นจำกัดขอบเขตการตัดสินใจ
Ladder of Inference อธิบายขั้นตอนการคิดที่เราดำเนินการ ซึ่งโดยปกติไม่ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริง ในการการตัดสินใจหรือการกระทำ
การติดตามการใช้เหตุผลทีละขั้นตอนนี้ สามารถนำเราไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ที่ยึดตามความเป็นจริง เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดและความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น
************************************