ขั้นตอนการตัดสินใจ


ขั้นตอนการตัดสินใจ
The Ladder of Inference

พลตรี มารวย  ส่งทานินทร์

[email protected]

21 กันยายน 2562

    บทความเรื่อง ขั้นตอนการตัดสินใจ (The Ladder of Inference) รวบรวมและเรียบเรียงมาจากบทความทางอินเตอร์เน็ตหลาย ๆ ตอน เช่น https://www.mindtools.com/pages/article/newTMC_91.htm , https://www.toolshero.com/decision-making/ladder-of-inference/ , https://thesystemsthinker.com/the-ladder-of-inference/  และอื่น ๆ

    ผู้ที่สนใจบทความนี้แบบ PowerPoint (PDF file) สามารถ Download ได้ที่ https://www.slideshare.net/maruay/ladder-of-inference-174529516

    เกริ่นนำ

    • เราเคยมีความขัดแย้งหรือถกเถียงกับใครบางคนในกลุ่ม และสงสัยว่าสิ่งที่เราเห็นแตกต่างกันอย่างไร หรือเคยถูกคนอื่นกล่าวหาว่า เป็นคนชอบข้ามไปสู่ข้อสรุปหรือไม่?
    • เหตุผลที่เรากระโดดไปสู่ข้อสรุป สามารถอธิบายได้ด้วย แบบจำลองทางจิต (mental model) ที่เรียกว่า "บันไดแห่งการอนุมาน (Ladder of Inference)"
    • แบบจำลองนี้ อธิบายวิธีที่เราคิดอย่างรวดเร็วและโดยไม่รู้ตัว จากข้อเท็จจริงของสถานการณ์ไปสู่ข้อสรุป (และบางครั้งเป็นข้อสรุปที่ผิด)

    วิธีหลีกเลี่ยงการกระโดดไปสู่ข้อสรุป

    • ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน เรามักจะถูกกดดันให้กระทำการโดยทันที แทนที่จะใช้เวลาในการคิดหาเหตุผลและคิดถึงข้อเท็จจริง
    • สิ่งนี้ไม่เพียงจะนำเราไปสู่ข้อสรุปที่ผิด แต่ยังอาจทำให้เกิดความขัดแย้งกับคนอื่น ซึ่งอาจได้ข้อสรุปที่แตกต่างกันในเรื่องเดียวกัน
    • เราต้องแน่ใจว่า การกระทำและการตัดสินใจของเรานั้น ขึ้นกับความเป็นจริง ซึ่ง "Ladder of Inference" ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายนี้ได้

    Ladder of Inference คืออะไร

    • Ladder of Inference (บางครั้งเรียกว่าProcess of Abstraction) สามารถช่วยไม่ให้ข้ามไปสู่ข้อสรุปก่อนเวลาอันควร และให้ใช้เหตุผลบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง
    • Ladder of Inference ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกระบวนการทางจิต ที่เกิดขึ้นภายในสมองของมนุษย์ ซึ่งใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที นั่นคือเหตุผลที่ผู้คนไม่ตระหนักว่า พวกเขากระทำหรือตอบสนองโดยไม่รู้ตัว
    • Ladder of Inference แสดงให้เห็นว่า แบบจำลองทางจิตเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวได้อย่างไร

    ทำความเข้าใจกับทฤษฎี

    • Ladder of Inference ถูกนำเสนอครั้งแรกโดยนักจิตวิทยาองค์กรChris Argyris และใช้โดย Peter Senge ใน วินัยที่ห้า: ศิลปะและการปฏิบัติขององค์กรแห่งการเรียนรู้ (The Fifth Discipline: The Art and Practice of the Learning Organization)
    • Ladder of Inference อธิบายขั้นตอนการคิด ที่เราดำเนินการโดยไม่ได้ตระหนัก ในการตัดสินใจหรือการกระทำ ซึ่งมี 7 ขั้นตอน

    ขั้นที่ 1. ความจริงและข้อเท็จจริง (Reality and facts)

    • ในขั้นตอนแรก เราสังเกตสิ่งต่าง ๆ  หรือข้อเท็จจริงของสถานการณ์
    • เป็นการระบุสิ่งที่เห็นได้โดยตรง ใช้การสังเกตข้อมูลทั้งหมดจากโลกแห่งความจริง
    • ข้อมูลที่สังเกตได้โดยตรงทั้งหมดที่ล้อมรอบเราในชีวิตประจำวัน รวมถึงคำพูดของผู้คน น้ำเสียง และการเคลื่อนไหวของร่างกาย สถิติจากการสำรวจการตลาด รายงานการบัญชี และอื่น ๆ

    ขั้นที่ 2. การเลือกข้อเท็จจริง (Selecting facts)

    • ในขั้นตอนที่สอง จิตใจของเราจะกรองข้อมูลที่เราคิดว่าไม่เกี่ยวข้องออกไปโดยอัตโนมัติ ตามความเชื่อและประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของเรา
    • ข้อเท็จจริง จะถูกเลือกตามความเชื่อมั่นและประสบการณ์ ซึ่ง กรอบอ้างอิง (Frame of reference) มีบทบาทในเรื่องนี้
    • เนื่องจากเราไม่สามารถให้ความสนใจกับข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมด ในบางครั้ง เราจึงใส่ใจเกี่ยวกับข้อมูลที่จะเลือกและสิ่งที่ควรละเว้น บ่อยครั้งที่กระบวนการคัดเลือกเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

    ขั้นที่ 3. การตีความข้อเท็จจริง (Interpreting facts)

    • ในขั้นตอนที่สามนี้ เรากำหนดหรือตีความความหมายของข้อมูล/ข่าวสาร/การสังเกต/ประสบการณ์/สถานการณ์
    • ข้อเท็จจริงถูกตีความ และให้ความหมายส่วนตัว
    • ข้อมูลที่เราเลือก รวมถึงการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ (ภาษาพูด การสื่อสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร และท่าทาง) เราจะใช้คำของเราเองในสิ่งที่บุคคลนั้นพูดหรือทำ

    ขั้นที่ 4. ข้อสมมติฐาน (Assumptions)

    • ขั้นต่อไป เราใช้สมมติฐานที่มีอยู่ของเรา (บางครั้งโดยไม่พิจารณา) และพัฒนาสมมติฐานเพิ่มเติม ตามการตีความของสถานการณ์
    • ขั้นตอนนี้ มีการตั้งสมมติฐานตามความหมายที่เราให้กับการสังเกต สมมติฐานเหล่านี้เป็นเรื่องส่วนตัว และแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละบุคคล

    ขั้นที่ 5. สรุปผล (Conclusions)

    • ในขั้นตอนที่ห้า เราได้ข้อสรุป (และปฏิกิริยาทางอารมณ์) ตามการตีความและการตั้งสมมติฐานของเรา
    • ในขั้นตอนนี้ ข้อสรุปจะมาจากความเชื่อเดิม

    ขั้นที่ 6. ความเชื่อ (Beliefs)

    • จากข้อสรุปของเรา เรายืนยันหรือปรับความเชื่อของเรา เกี่ยวกับสถานการณ์ บริบท และโลกรอบตัวเรา
    • ในขั้นตอนนี้ ข้อสรุปจะขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ถูกตีความ และสมมติฐานก่อนหน้า

    ขั้นที่ 7. การกระทำ (Actions)

    • ในที่สุด เราก็ลงมือทำ ที่ดูเหมือนถูกต้องตามความเชื่อของเรา การกระทำของเรานั้นจะเปลี่ยนสถานการณ์ และสร้างชุดสถานการณ์ขึ้นมาใหม่
    • นี่คือระดับสูงสุด การกระทำจะขึ้นอยู่กับความเชื่อและข้อสรุปก่อนหน้านี้ เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะดีที่สุดในขณะนั้น

    บันไดแห่งการอนุมาน (The Ladder of Inference)

    • เริ่มต้นที่ด้านล่างของบันได ที่มีความจริงและข้อเท็จจริง จากนั้นเราจะเลือกตามความเชื่อและประสบการณ์ก่อนหน้าของเรา ตีความสิ่งที่เรารับทราบ แล้วใช้สมมติฐานที่มีอยู่ของเรา (บางครั้งโดยไม่พิจารณา) เป็นข้อสรุป บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงจากการตีความและสมมติฐานของเรา แล้วพัฒนาความเชื่อตามข้อสรุปเหล่านี้ จากนั้นจะดำเนินการที่ดูเหมือนว่า "ถูกต้อง" ที่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเชื่อ

    ผลกระทบของการกระโดดขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว

    • ข้อสรุปของเรา ดูชัดเจนว่าถูกต้องสำหรับเรา
    • ผู้คนมีข้อสรุปที่แตกต่างกัน เมื่อแต่ละคนคิดว่าข้อสรุปของตนเองมีความชัดเจน พวกเขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะพูดว่า ได้ข้อสรุปมาได้อย่างไร
    • ผู้คนมักเห็นข้อสรุปที่แตกต่างของผู้อื่นว่าผิดอย่างเด่นชัด และคิดค้นเหตุผลเพื่ออธิบายว่า ทำไมคนอื่นพูดในสิ่งที่ผิด
    • เมื่อผู้คนไม่เห็นด้วย พวกเขามักจะสรุปมาจากด้านบนสุดของบันได ทำให้ยากที่จะแก้ไขความแตกต่างและเรียนรู้จากกันและกัน

    ปัญหาใหญ่

    • ปัญหาคือ เราคิดว่าคนอื่นควรมองโลกเหมือนกับเรา ดังนั้นเมื่อเราไม่เห็นด้วยกับคนอื่น เรามักจะไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับข้อสรุป
    • เราคิดว่า เราได้เลือกชุดข้อมูลย่อยเดียวกันและตีความความหมายในลักษณะเดียวกัน สมมติฐานของเราควรเหมือนกัน ดังนั้นเราจึง “กระโดด (leap)” ขั้นบันไดโดยไม่รู้ตัว โดยไม่ได้ทดสอบสมมติฐานพื้นฐาน
    • นั่นคือสิ่งที่เราพูดว่าบางคน “ชอบกระโดดไปสู่ข้อสรุป (jumping to conclusions)”

    การใช้ทฤษฎี

    • Ladder of Inference ช่วยให้เราสรุปได้ดีขึ้น หรือท้าทายข้อสรุปของคนอื่น โดยยึดตามข้อเท็จจริงและความจริง
    • เราสามารถใช้เพื่อช่วยตรวจสอบหรือคัดค้านข้อสรุปของคนอื่น
    • กระบวนการให้เหตุผลทีละขั้นตอนนี้ช่วยให้เรายังคงรักษาเป้าหมาย และเมื่อทำงานร่วมหรือท้าทายผู้อื่น เพื่อให้บรรลุข้อสรุปร่วมกันโดยไม่มีข้อขัดแย้ง

    การประยุกต์

    • การใช้ Ladder of Inference สอนให้เราดูข้อเท็จจริงที่เป็นกลาง และไม่ตัดสินเร็วเกินไป เป็นวิธีที่ให้ความเชื่อมั่นและประสบการณ์ในทางบวก
    • Ladder of Inference สามารถใช้ได้สามวิธีดังต่อไปนี้:
    • 1. ตระหนักถึงความคิดและเหตุผลของเราเอง
    • 2. สร้างความชัดเจนให้ผู้อื่นเห็นว่า กระบวนการใช้เหตุผลของเราทำงานอย่างไร ช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจถึงแรงจูงใจได้ดีขึ้น
    • 3. ศึกษากระบวนการคิดของผู้อื่น โดยการถามพวกเขาอย่างกระตือรือร้น

    เคล็ดลับที่ 1

    • ใช้ Ladder of Inference ในทุกขั้นตอน ของกระบวนการคิดของเรา โดยถามคำถามต่อไปนี้:
      • นี่คือข้อสรุปที่ "ถูกต้อง" หรือไม่?
      • ทำไมเราจึงใช้สมมติฐานเหล่านี้ ?
      • เหตุใดเราจึงคิดว่า นี่เป็นสิ่งที่ "ถูกต้อง" ที่สมควรทำ ? สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงทั้งหมดหรือไม่?
      • ทำไมเขาถึงเชื่อเช่นนั้น?
      • ใช้ขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อท้าทายการคิดโดยใช้ Ladder of Inference คือ
      • หยุด! ถึงเวลาพิจารณาเหตุผล
      • ให้ระบุตำแหน่ง ของขั้นที่อยู่บนบันได
      • การเลือกข้อมูลหรือความเป็นจริง?
      • การตีความว่าหมายถึงอะไร?
      • การสร้างหรือทดสอบสมมติฐาน?
      • การสร้างหรือทดสอบข้อสรุป?
      • ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร และทำไม?
      • จากขั้นบันไดในปัจจุบัน วิเคราะห์เหตุผล โดยการลงบันได สิ่งนี้จะช่วยให้เราสามารถติดตามข้อเท็จจริงและความเป็นจริงที่เราใช้
      • ในแต่ละขั้นตอนถามตัวเองว่า เรากำลังคิดอะไรอยู่และทำไม ขณะวิเคราะห์แต่ละขั้นตอน เราอาจจำเป็นต้องปรับการให้เหตุผล
      • คำถามต่อไปนี้จะช่วยให้เราทำงานย้อนหลังได้ (ลงบันไดโดยเริ่มจากด้านบน) คือ
        • เหตุใดเราจึงเลือกแนวทางการดำเนินการนี้ มีการกระทำอื่น ๆ ที่เราควรพิจารณาอีกหรือไม่?
          • ความเชื่ออะไรนำไปสู่การกระทำนั้น? มันเป็นหลักฐานที่ดีหรือไม่?
          • ทำไมเราถึงได้ข้อสรุปนั้น เป็นบทสรุปที่ดีหรือไม่?
          • เรากำลังคาดเดาอะไรอยู่และทำไม? สมมติฐานของเราถูกต้องหรือไม่?
          • เราเลือกใช้ข้อมูลอะไรและทำไม? เราได้เลือกข้อมูลอย่างจริงจังหรือไม่?
          • อะไรคือความจริงที่เราควรใช้? มีข้อเท็จจริงอื่นอีกที่เราควรพิจารณาอีกหรือไม่?

          เคล็ดลับที่ 2

          • เมื่อเราทำงานด้วยเหตุผล ให้ระวังขั้นตอนที่เรามักจะกระโดดข้าม เราตั้งสมมติฐานง่ายเกินไปหรือไม่? เราเลือกเพียงบางส่วนของข้อมูลหรือไม่? จดบันทึกแนวโน้มเพื่อให้เราเรียนรู้ที่จะทำตามขั้นตอนของการให้เหตุผล ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษในอนาคต
          • ด้วยความรู้สึกใหม่ของการให้เหตุผล (และอาจเป็นขอบเขตข้อมูลที่กว้างขึ้นและมีการพิจารณาที่มากกว่าเดิม) ทำให้เราสามารถทำงานต่อไปได้อีกครั้ง (แบบเป็นขั้นเป็นตอน) ขึ้นไปตามขั้นบันได

          เคล็ดลับที่ 3

          • ลองอธิบายเหตุผลของเราต่อเพื่อนร่วมงาน สิ่งนี้จะช่วยให้เราตรวจสอบว่า ข้อโต้แย้งของเรานั้นดีเพียงพอหรือไม่
          • หากเรากำลังท้าทายข้อสรุปของคนอื่น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะสามารถอธิบายเหตุผลของเราให้กับบุคคลนั้น ในแบบที่ช่วยให้บรรลุข้อสรุปร่วมกันและหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

          แนวทางทั่วไป

          • ให้สังเกตว่า ข้อสรุปของเราเป็นข้อสรุปโดยอิงจากการอนุมาน ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
          • ให้สมมติว่า กระบวนการให้เหตุผลของเรา อาจมีช่องว่างหรือข้อผิดพลาดที่เราไม่เห็น
          • ใช้ตัวอย่างเพื่อแสดงข้อมูลที่เราเลือก ซึ่งนำไปสู่ข้อสรุป
          • แปลความหมายที่เราได้ยินในสิ่งที่คนอื่นพูด เพื่อตรวจสอบว่าเราเข้าใจถูกต้องหรือไม่
          • ถามผู้อื่นว่า พวกเขามีวิธีอื่นในการตีความข้อมูล หรือว่าพวกเขาเห็นช่องว่างในความคิดของเราหรือไม่
          • ขอให้ผู้อื่นแสดงข้อมูลที่พวกเขาเลือก และความหมายที่พวกเขาแปล

          การใช้เครื่องมือ

          • ในการเริ่มต้นใช้เครื่องมือ การตัดสินใจสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ หยุด
          • นั่นคือ หลีกเลี่ยงการกระโดดไปสู่ข้อสรุป

          กลับลงมา

          • การหวนกลับ เราต้องถามคำถาม
          • เป็นคำถามว่า "ทำไม" และ "อะไร" ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ใช้ ในการลงบันได

          ก้าวไปข้างหน้า

          • การใช้โมเดลนี้ เราสามารถมองหาช่องว่างในตรรกะได้อย่างมีประสิทธิผล จากนั้น กลับขึ้นบันไดอีกครั้ง ในลักษณะที่เป็นตรรกะ
          • ความล้มเหลวในการตัดสินใจที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง มีแนวโน้มที่จะจบลงด้วยการตัดสินใจที่ไม่ดีในตอนท้าย

          ประเด็นสำคัญ

          • แนวคิดเบื้องหลัง Ladder of Inference คือ ช่วยเราหลีกเลี่ยงการตัดสินที่ไม่ดี จากประสบการณ์ที่ผ่านมา อคติ หรือปัจจัยอื่น ๆ
          • เป็นการอธิบายถึงกระบวนการคิดที่เราทำโดยปกติ ที่ไม่ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริง ก่อนการตัดสินใจหรือการกระทำ
          • ในโมเดลนี้มีบันไดเจ็ดขั้น ที่เป็นตัวแทนของกระบวนการคิดทั่วไป ที่เราใช้ในการตัดสินใจ
          • นั่นคือ ความจริงและข้อเท็จจริง, ความเป็นจริงที่เลือก, ความเป็นจริงที่ตีความ, ข้อสันนิษฐาน, ข้อสรุป, ความเชื่อ, และการกระทำ
          • เริ่มต้นที่ด้านล่างสุดของบันได เรามีความเป็นจริงและข้อเท็จจริง ที่คัดเลือกตามความเชื่อและประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของเรา
          • เราตีความตามสมมติฐานที่มีอยู่ของเรา บางครั้งโดยไม่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน
          • เราสรุปโดยอิงจากข้อเท็จจริงที่ถูกตีความและสมมติฐานของเรา และพัฒนาความเชื่อบนพื้นฐานของข้อสรุปเหล่านี้
          • จากนั้นเราจะดำเนินการที่ดูเหมือน 'ถูกต้อง' เพราะสิ่งเหล่านั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเชื่อ
          • เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่จะตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาใหม่ (แม้ว่าการตัดสินใจเหล่านั้นจะไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง)

          เราจะใช้ในสถานการณ์ของตนเองได้อย่างไร

          • 1. รู้ข้อจำกัดของเราเอง (Be aware of your own limitations) ระวังให้ดีว่า ทุกคนเลือกที่จะกรองจากประสบการณ์ของตัวเอง ตีความสิ่งที่พวกเขาเห็น สร้างสมมุติฐาน และสรุป ที่อาจเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ และเราทุกคนมีจุดบอด
          • 2. ถามสมมติฐานของเราและสมมติฐานของผู้อื่น (Question your assumptions and the assumptions of others) ลองถามตัวเองว่า เรามองข้ามอะไรไปหรือเปล่า”และขอให้คนอื่นอธิบายสมมติฐานของพวกเขา
          • 3. ทำให้ความคิดของเราชัดเจน (Make your thinking explicit) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ท้าทาย ซึ่งอาจมีข้อขัดแย้งกับข้อสรุปที่ต่างกัน บางครั้งเราต้องชะลอการอธิบายกระบวนการคิดของเรา และขอให้ผู้อื่นทำเช่นเดียวกัน
          • ¡ ซึ่งพวกเขาอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเรา แต่พวกเขาก็รู้ว่า มีที่มาอย่างไร

          ผลกระทบสำหรับผู้นำ

          • ผู้นำจะต้องรวบรวมและศึกษาข้อมูลก่อนกระโดดไปสู่ข้อสรุป ความล้มเหลวในการศึกษาข้อมูลทั้งหมดก่อให้เกิดการตัดสินใจที่ไม่ดี มีค่าใช้จ่าย และเป็นอันตราย ดังนั้นผู้นำต้อง:
            • ตระหนักถึงความคิดและการใช้เหตุผลของพวกเขา (สะท้อนความคิดเห็น)
            • ทำให้คนอื่นเห็นเหตุผลของพวกเขา
            • ถามสิ่งที่คนอื่นคิด ว่าแตกต่างหรือไม่ อย่างไร
            • แสวงหาความจริงที่อยู่เบื้องหลังข้อมูล
            • ถามว่าทุกคนเห็นด้วยกับข้อมูลหรือไม่
            • ให้ความหมายและสมมติฐานอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล
            • ตระหนักว่า ความหมายและสมมติฐาน ซึ่งไม่ใช่ความจริง
            • ตรวจสอบสมมติฐานร่วมกับผู้อื่น

            สรุป

            • การอนุมานแบบขั้นบันได (The Ladder of Inference) ช่วยให้เราเรียนรู้วิธีกลับไปสู่ข้อเท็จจริง และใช้ความเชื่อและประสบการณ์เพื่อผลในเชิงบวก แทนที่จะปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นจำกัดขอบเขตการตัดสินใจ
            • Ladder of Inference อธิบายขั้นตอนการคิดที่เราดำเนินการ ซึ่งโดยปกติไม่ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริง ในการการตัดสินใจหรือการกระทำ
            • การติดตามการใช้เหตุผลทีละขั้นตอนนี้ สามารถนำเราไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ที่ยึดตามความเป็นจริง เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดและความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น

            ************************************


            หมายเลขบันทึก: 668977เขียนเมื่อ 21 กันยายน 2019 17:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 กันยายน 2019 17:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


            ความเห็น (0)

            ไม่มีความเห็น

            พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
            ClassStart
            ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
            ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
            ClassStart Books
            โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท