ความสำเร็จเป็นเรื่องปริญญา
ปริญญา เป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึงระดับการศึกษาว่าจบอะไรมา การมีปริญญาด้านใดด้านหนึ่งเป็นการรับรองความรู้ว่าเป็นผู้รู้ในด้านนั้น การมีปริญญาจึงผูกกับคำว่าความรู้ไปในที แต่อย่างไรก็ตาม การได้มาซึ่งปริญญานั้นเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึงการฝึกฝนตนเองอีกด้วย ส่วนจะเข้มข้น แตกต่างกันในแต่ละที่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เน้นสำหรับผู้ที่เรียนจริงจังเท่านั้นในที่นี้ ในส่วนของพระพุทธศาสนาปริญญา มีการให้ ความหมายที่เน้นถึงหลักสำคัญไว้ว่ามีอยู่ ๓ เรื่องด้วยกันคือ
ปริญญา ๓ คือ การกำหนดรู้, การทำความรู้จัก, การทำความเข้าใจโดยครบถ้วน ดังนี้คือ
๑. ญาตปริญญา คือ กำหนดรู้ด้วยให้เป็นสิ่งอันรู้แล้ว, กำหนดรู้ขั้นรู้จัก, กำหนดรู้ตามสภาวลักษณะ คือ ทำความรู้จักจำเพาะตัวของสิ่งนั้นโดยตรง พอให้ชื่อว่าได้เป็นอันรู้จักสิ่งนั้นแล้ว เช่นว่ารู้ นี้คือเวทนา เวทนาคือสิ่งที่มีลักษณะเสวยอารมณ์ดังนี้ เป็นต้น
๒. ตีรณปริญญา คือ กำหนดรู้ด้วยการพิจารณา, กำหนดรู้ขั้นพิจารณา, กำหนดรู้โดยสามัญลักษณะ คือ ทำความรู้จักสิ่งนั้นพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เช่นว่า เวทนาไม่เที่ยง มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ดังนี้เป็นต้น
๓. ปหานปริญญา คือ กำหนดรู้ด้วยการละ, กำหนดรู้ถึงขั้นละได้, กำหนดรู้โดยตัดทางมิให้ฉันทราคะเกิดมีในสิ่งนั้น คือรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้ว ละนิจจสัญญาเป็นต้น ในสิ่งนั้น เสียได้
ปริญญา ๓ นี้ เป็นโลกียะ มีขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ เป็นกิจในอริยสัจข้อที่ 1 คือ ทุกข์ ในทางปฏิบัติ จัดเข้าใน วิสุทธิข้อ ๓ ถึง ๖ คือ ตั้งแต่นามรูปปริเฉท ถึง ปัจจยปริคคหะ เป็นภูมิแห่งญาตปริญญา ตั้งแต่กลาปสัมมสนะ ถึง อุทยัพพยานุปัสสนา เป็นภูมิแห่งตีรณปริญญา ตั้งแต่ ภังคานุปัสสนาขึ้นไป เป็นภูมิแห่งปหานปริญญา
ปริญญาทั้ง ๓ นี้ไม่ใช่ปริญญาในแง่ของการศึกษาในระดับต่าง ๆ อย่างเช่น ระดับปริญญาตรี ปริญญาโทหรือปริญญาเอกที่จะจบการศึกษาแล้วจะได้รับปริญญาเพราะบางครั้งเราอาจจะเข้าใจเป็นอย่างนั้น
ในส่วนของพระพุทธศาสนาการรับปริญญาก็คือการเข้าถึงปริญญาทั้ง ๓ ข้างต้นนี้เท่านั้นจึงจะกล่าวว่่าประสบผล มีความสำเร็จในชีวิต
ในพระพุทธศาสนาได้มุ่งเน้นของการได้รับปริญญาดังที่หลวงพ่อพุทธทาสได้กล่าวไว้เช่นเดียวกันว่าปริญญาตายก่อนตาย การตายก่อนตายของพุทธทาสนั้นหมายถึงว่า เราต้องเข้าใจชีวิตของเรา ก็คือเราต้องสามารถละความโลภ ความโกรธ ความหลงลงให้สำเร็จเสร็จสิ้นตั้งแต่ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่จึงได้ชื่อว่าได้รับปริญญาอย่างแท้จริง ซึ่งพุทธทาสยังมีความเห็นบางอย่างในเรื่องของการศึกษาในปัจจุบันว่า ไม่มีการเน้นเรื่องในการปลูกฝังศีลธรรมให้เป็นคนดี แต่เน้นเพียงแค่คนที่สามารถพัฒนาสิ่งต่าง ๆ เพื่อตอบสนองในแง่ของจิตใจตัวเองเป็นหลัก ๆ คือตอบสนองสัญชาตญาณของตนเอง แต่ไม่ได้มุ่งเน้นในการยกระดับจิตใจของตนให้สะอาด สว่าง สงบให้มากขึ้น พูดง่ายๆ คือให้ลดละความโลภความโกรธความหลงเพื่อเป็นอยู่อย่างบุคคลที่เรียบง่าย กินง่าย เป็นอยู่อย่างเรียบง่าย หมายถึงว่า ตัดสิ่งที่เป็นเครื่องพันธนาการให้ได้มากที่สุด เป็นอยู่อย่างเรียบง่ายหมายถึง เป็นอยู่อย่างต่ำ กระทำอย่างสูงก็คือ เป็นผู้มุ่งเน้น พัฒนาด้านจิตใจให้สูงขึ้น แต่ขณะเดียวกันการที่จะพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นนั้นก็ไม่ปฏิเสธสิ่งที่เนื่องด้วยกายก็คือยังอีกอาศัยด้านกายอยู่ แต่ว่าให้เป็นเพียงสิ่งที่ใช้ไม่ใช่เพื่อการตอบสนอง
การรับปริญญาในพระพุทธศาสนานั้นก็คือการพัฒนาคุณภาพของร่างกายและจิตใจให้สูงขึ้นควบคู่กันไปทั้งสองด้านนั่นเอง จึงได้ชื่อว่าได้รับปริญญาอย่างแท้จริง
ส่วนปริญญาในทางโลกนั้นก็สามารถที่จะนำมาพัฒนาทั้งด้านวัตถุและจิตใจได้ด้วย แต่การที่บางครั้งใจของของเรานั้นไปมุ่งในเรื่องวัตถุมากเท่าไหร่โอกาสที่จะพัฒนาจิตใจนั้นก็เป็นไปได้ยาก ดังนั้น พระพุทธศาสนาเป็นวิถีแห่งการดำเนินชีวิต คือหากยังเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยด้านการเเสสงหาสิ่งที่จะตอบสนองความต้องการด้านร่างกายเพียงอย่างเดียว สิ่งต่างๆเหล่านั้นมันก็มักจะฉุดรั้งเราเอาไว้ แล้วเราก็ผูกตัวเองไว้กับสิ่งนั้น โอกาส เวลาที่จะพัฒนาจิตใจตัวเองนั้นเป็นไปได้ยาก แต่ไม่ได้หมายความว่าการที่เกี่ยวข้องด้วยสิ่งนั้นจะเป็นความเลวร้ายทั้งหมด ที่ไม่นำตนไปสู่การพัฒนาจิตใจของตนเองให้สูงขึ้น
เราจะเห็นได้ว่าพระอริยบุคคลในระดับต่างๆ คือโสดาบัน สกทาคามีและพระอนาคามี ยังจะสามารถครองชีวิตอยู่ในเพศของฆราวาสหรือคฤหัสถ์ได้อยู่ อย่างเช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือนางวิสาขา เป็นต้น คือบุคคลเหล่านี้ก็ชื่อว่ายังเป็นพระอริยบุคคล แต่ยังสามารถครองวิถีของคฤหัสถ์หรือฆราวาสได้อยู่ ดังนั้นแล้วการรับปริญญาในพระพุทธศาสนานั้นไม่ได้จำกัด เอาไว้สำหรับนักบวชเท่านั้น และวิธีการปฏิบัตินั้นเราจะเห็นได้ว่าเราต้องมีอาณาบริเวณหรือมีขอบเขตที่จะพัฒนาตนเองไปควบคู่กันได้อยู่ ซึ่งประเด็นนี้แหละถือว่าเป็นประเด็นสำคัญของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากเลยซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของการบริหารเวลาด้วย
หลวงพ่อพุทธทาสได้กล่าวไว้ประโยคหนึ่งซึ่งน่าสนใจทีเดียวว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรม การทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ ทำความดีเพื่อความดี
ประเด็นนี้แหละถือว่าเป็นหัวใจของการใช้ชีวิตของคนเราก็ว่าได้ว่า การงานทุกอย่างนั้นเกี่ยวเนื่องกับชีวิตของเราทั้งนั้น ถ้าเราได้ตระหนัก ได้ครุ่นคิด พิจารณาในสิ่งที่เราทำอยู่ กับสิ่งที่เราทำได้อย่างเป็นปัจจุบัน ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความคาดหวัง ความมุ่งหวังในชื่อเสียงเกียรติยศ หรือสิ่งของรางวัลต่างๆนั้น ก็มีโอกาสน้อยนักที่จะเข้ามาแทรกแซงในสิ่งที่เรากำลังทำ ขณะที่เราเป็นอยู่ เพราะเราอยู่กับสิ่งที่เราทำสิ่งเฉพาะหน้าจริง ๆ โดยไม่ปล่อยใจเราไปคาดหวังซึ่งผลบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามขณะที่เรากระทำคือปัจจุบันได้ทำอะไรอยู่
ความเข้าใจที่สำคัญของการรับปริญญาในทางพุทธศาสนานั้น มุ่งเน้นให้เราได้ตระหนักในเรื่องของการใช้ชีวิตซึ่งผูกโยงอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับการงานที่เราทำนั่นเอง
หัวใจของการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนานั้น แม้แต่คำว่ากรรมฐาน มีความหมายว่า ที่ตั้งของการงาน การทำงานใดก็ชื่อว่า ทำกรรมฐาน และนัยของการงานนั้นก็ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ การทำหน้าที่คือการทำงาน การทำงานคือการปฏิบัติธรรม ซึ่งประโยคนี้พุทธทาสภิกขุเคยกล่าวไว้ด้วย
อย่างไรก็ดี การจะใช้ประโยชน์ได้มากน้อยแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราใช้หลักการ หรือ แนวทางเหล่านี้ไปเพื่ออะไร ถ้าเพื่อละความโลภความโกรธความหลง มีแนวทางเพื่อพัฒนาทั้งด้านกายและจิตใจให้ปกติ หรือมีเจตนาที่ดีแล้วก็ย่อมชื่อว่าทำกรรมฐานเช่นเดียวกัน ดังที่พุทธทาสภิกขุเห็นว่า ไม่มีการงานใดสูงต่ำมากน้อยไปกว่ากัน ถ้าหากการงานนั้นเป็นไปเพื่อดำรงชีวิตอยู่หรือหล่อเลี้ยงชีวิตอยู่ก็หล่อเลี้ยงในทางร่างกายก็อาศัยปัจจัย ๔ ส่วนการหล่อเลี้ยงทางจิตวิญญาณหรือจิตใจนั้นก็อาศัยธรรมะหรือว่าการใคร่ครวญพินิจพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการ เป็นต้น ชื่อว่าเป็นการดำรงชีวิตของคนเราให้เข้าถึงความจริงของชีวิตเป็นการรับปริญญาตายก่อนตายว่าเป็นอย่างไร
ไม่มีความเห็น