กับใครก็พูดอย่างนี้ ว่างานโรงเรียนสั่งเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ได้ ต้องอาศัยการพูดคุย ปรึกษาหารือ จนตกลงปลงใจร่วมกันเท่านั้น จึงจะไปต่อหรือดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิผล เป็นบทสรุปของตัวเองจากที่ได้สังเกตวิถีการทำงานที่โรงเรียนมาอย่างยาวนาน
ระยะหลังๆแล้วจึงได้ยินคำว่า“การบริหารแบบมีส่วนร่วม” ซึ่งตรงใจ แต่เอาเข้าจริงก็มีแต่คำพูดสวยหรูแล้วก็เลือนหายไปเหมือนกับเรื่องอื่น ไม่มีผลใดๆ การปฏิบัติจริงตลอดเวลาที่ผ่านมายังเหมือนเดิม
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้บริหารไม่ควรเหมือนนายกับลูกน้องของตำรวจทหาร งานดูแลรักษากฎหมายหรือปกป้องชาติบ้านเมืองอาศัยความเฉียบขาด รวดเร็ว เป็นหนึ่งเดียว แต่งานพัฒนาคนของครูตรงกันข้าม วิธีการเพียงหนึ่งเดียวไม่ได้ ต้องแตกต่างเหมาะสมกับเด็กแต่ละคนซึ่งมีความหลากหลาย
งานออกแบบจัดการเรียนรู้จึงอาศัยความคิดหรือสติปัญญาครูอย่างเอกอุ การเลือกใช้แต่อำนาจเอาแต่สั่งการของผู้บริหาร นอกจากจะบั่นทอนขวัญและกำลังใจ ยังหยุดยั้งความคิดความอ่านหรือความริเริ่มสร้างสรรค์ของครู ซึ่งผลกระทบสุดท้ายจะไปตกอยู่กับเด็ก ถ้าการบริหารนั้นขาดการมีส่วนร่วม
การบริหารจัดการศึกษาจึงไม่ควรคิดตัดสินใจด้วยคนเพียงคนเดียว แค่หนึ่งสมองหรือหนึ่งประสบการณ์ไม่เพียงพอจะต่อกรกับความแตกต่างอย่างหลากหลาย ยิ่งบ้านเราจำนวนนักเรียนต่อห้องสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ การร่วมคิดร่วมทำจึงจำเป็นอย่างยิ่ง พระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542 เป็นผลให้โรงเรียนมีการบริหารจัดการในรูปคณะกรรมการ แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่สามารถแสดงบทบาทตนเองได้อย่างแท้จริง
การบริหารแบบมีส่วนร่วมจะทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของโรงเรียน เพราะผลที่เกิดไม่ว่าจะดีหรือร้ายล้วนมาจากความคิดตัวเอง ความรัก ความหวังดี และความทุ่มเทเพื่อองค์กรจะสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ ทั้งงานสอนและงานสนับสนุนจะทรงอานุภาพขึ้น เรื่อยไปจนถึงความพยายามที่จะตรวจสอบความฉ้อฉลต่างๆ อาทิ ไม่ได้เห็นว่านักเรียนสำคัญก็แค่ข้ออ้างเพื่อหาประโยชน์ การจัดสรรงบรายหัวนำไปทำเรื่องอื่นเสียมากกว่าการจัดการเรียนรู้ คอร์รัปชั่นอันอาจเกิดขึ้นจะลดน้อยถอยลง
การร่วมคิดร่วมทำเพื่อสร้างบ้านของเรา จะทำให้วิธีการแก้ไขพัฒนาหลากหลายขึ้นด้วยประสบการณ์ความรู้ของหลายคน จะแม่นยำขึ้น สอดคล้องกับปัญหาหรือข้อมูลจริงมากขึ้น โอกาสผิดพลาดจะน้อยลง หมายถึงสามารถพัฒนาผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างนี้การจัดการศึกษาโดยรวมของบ้านเราซึ่งถูกวิพากษ์มาตลอด อาการจะไม่ดีกว่าที่เป็นอยู่หรือ?
ความรู้สึกเป็นเจ้าของโรงเรียนตัวจริงเสียงจริงด้วยคนหนึ่ง จึงเป็นหัวใจของการสร้างโรงเรียนคุณภาพ ในทางกลับกันถ้าผู้ปฏิบัติ ครูหรือผู้บริหารไม่รู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเสียแล้ว ผลที่เกิดจะตรงข้าม การทำงานจะเป็นแบบเรื่อยๆมาเรียงๆ การตรวจสอบกลายเป็นเรื่องตัวใครตัวมัน เพื่อเด็กๆจะเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น การจัดสรรงบจะผิดเพี้ยนบิดเบี้ยว การจัดการที่มีค่าใช้จ่ายอาจนำไปสู่การคอร์รัปชั่น..
โรงเรียนที่มีคุณภาพ จะไร้คุณภาพ!
เปลี่ยนจากโรงเรียนเป็นโรงพยาบาล … สถานการณ์คล้ายกันค่ะอาจารย์
คนในองค์กรชอบคิดและทำด้วย … รู้สึกเป็นเจ้าของ
ชาวบ้าน ผู้ป่วย ญาติ ที่ยังไม่ค่อยมีโอกาสเสนอแนะข้อพัฒนา ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมทุน … ไม่ค่อยรู้สึกเป็นเจ้าของ
ปัจจัยสำคัญในการพัฒนา ระบบบริหารงานต้องมีเทคนิค กฏ กติกา กิจกรรม หรือ……………… ฯลฯ อะไรก็ได้นะครับ ที่จะสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าขององค์กรด้วยคนหนึ่งของทุกๆคน โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง..
ขอบคุณหมอธิมากครับ!