หนังสือ David and Goliath : Underdogs,Misfits, and the Arts of Battling Giants (2013) เขียนโดย Malcolm Gladwell เป็นหนังสือ NationalBest Seller ของสหรัฐอเมริกา บอกว่าจุดอ่อนหรือข้อด้อย ไม่จำเป็นจะต้องเป็นอุปสรรคต่อชีวิตเสมอไป มีคนจำนวนมากใช้จุดอ่อนของตนเป็นพลังกระตุ้นความมานะพยายามสู่การสร้างความสำเร็จอย่างสูงส่งในชีวิต
ชื่อหนังสือ บ่งบอกว่า “ไก่รองบ่อน” หรือ “ม้านอกสายตา”ที่หนังสือใช้คำว่า underdog สามารถใช้วิธีใดพลิกกลับสถานการณ์ให้ตนเป็นผู้ชนะได้ โดยเรื่องราวส่วนใหญ่ในหนังสือ เป็นเรื่องเอาชนะอุปสรรคในชีวิต
ผมจับความได้ว่ายุทธศาสตร์ใหญ่มีสองด้าน คือด้าน “รู้เขา รู้เรา” กับด้าน “ขับดันพลังภายในตนเอง”
ชื่อหนังสือ เน้นที่ พลัง “รู้เขารู้เรา” แล้วต่อสู้โดยยึดกุมข้อได้เปรียบของตนเองเหนือคู่ต่อสู้ ที่มีความได้เปรียบในภาพใหญ่ เดวิด เด็กเลี้ยงแกะตัวกะเปี๊ยกรู้ว่าตนเองสู้กับนักรบตัวยักษ์แบบรุกประชิดไม่มีทางชนะ แต่ตนเป็น “นักแม่นก้อนหิน” เหวี่ยงก้อนหินโดนตายักษ์โกไลแอ็ธอย่างแม่นยำ ล้มยักษ์และตัดหัวยักษ์ได้ โดยที่พลังเบื้องหลังคือความกล้าหาญหรือกำลังใจ และมีสมอง
สู้ยักษ์ต้องอย่าเข้าทางยักษ์ หาทางของตนเอง ที่ยักษ์ไม่มีทางสู้ เปรียบเสมือนคนเรียนไม่เก่งนัก อย่าทำตามฝูงเพื่อนนักเรียนที่แย่งกันสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ให้เลือกหาทางเข้ามหาวิทยาลัยที่เป็น “ทาง” ของตนเอง คือสอนวิชาที่ตนสนใจได้ดี แล้วเรียนให้ได้ผลดีเด่น โอกาสข้างหน้าจะสูงกว่าไปเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศแล้วไปสอบตกหรืออยู่ในกลุ่มท้ายๆ เพราะไปเจอคนเก่งกว่ามากมายแล้วหมดกำลังใจ
คนเราเลือกเกิดไม่ได้ และใครๆก็อยากเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยและมีเกียรติสูงในสังคม เพราะเป็นคนมีโอกาสสูง แต่คนที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากลำบากก็อาจประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในชีวิตได้ หากใช้ความด้อยโอกาสของตนเป็นพลังขับดันความมานะพยายามเพื่อออกจากสภาพยากจนนั้น ในขณะที่ลูกเศรษฐีไม่มีความจำเป็นต้องดิ้นรนขวนขวาย เพราะมั่นใจว่าอย่างไรพ่อแม่ก็มีเงินเลี้ยงดูอย่างดี จึงไม่ฝึกฝนตนเอง โอกาสประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในชีวิตจึงยากกว่า
เขายกตัวอย่างโรงเรียนลูกเศรษฐีที่ชั้นเรียนอาจมีเด็กเพียง ๙ คน ครูสามารถดูแลใกล้ชิดมาก แต่จุดอ่อนคือเด็กไม่มีโอกาสเรียนรู้จากการมี้เพื่อนที่แตกต่างกันในเศรษฐฐานะ และความคิดอ่าน ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ที่มีค่ายิ่ง
หนักขึ้นไปอีกเด็กที่เกิดมาพร้อมกับความผิดปกติในการเรียน ด้านการอ่าน จึงพัฒนาวิธีเรียนรู้ด้านอื่นขึ้นชดเชย คือการฟัง ทำให้เป็นนักฟังที่เยี่ยมยอด สามารถสังเกตจังหวะและถ้อยคำของผู้พูดได้ดีกว่าคนทั่วไป หนังสือยกตัวอย่างทนายความที่มีความสามารถพิเศษดังกล่าว สามารถจับจังหวะคำพูดที่ส่อพิรุธ นำมาใช้ซักค้านจนได้หลักฐานสนับสนุนฝ่ายตน
ผมเคยเห็นเด็กที่อ่านหนังสือและเรียนเลขไม่เก่งอย่างแรง แต่มีหัวศิลปะเด่นชัดมาก หยิบดินน้ำมันมาขยำๆก็กลายเป็นรูปสัตว์หรือสิ่งของที่เป็นชิ้นงานศิลปะ มีตัวอย่างเด็กที่มีปัญหาการเรียนหนังสือ แต่เด่นด้านอื่น อีกมากมาย
ประสบการณ์ชีวิตที่บอบช้ำหรือเป็นบาดแผลทางใจ อาจกลายเป็นพลังขับดันความสำเร็จในชีวิต เพราะได้มีโอกาสฝึกฝนการต่อสู้กับความยากลำบากหลากหลายด้านในชีวิตจริง ที่เป็นสุดยอดของการเรียนรู้ ให้กลายเป็นคนแกร่ง มีความอดทนมานะพยายามไม่ท้อถอยง่าย
คน “ด้อยโอกาส” กลับมีโอกาส เรียนรู้ ยุทธศาสตร์ “พลิกลบเป็นบวก” ในชีวิตจริง โดยมีเคล็ดลับคืออย่าใช้ยุทธศาสตร์ที่ใช้กันทั่วไป ให้คิดยุทธศาสตร์ที่คิดขึ้นเอง เพื่อใช้เฉพาะสถานการณ์ของตนเอง ที่ตนเองสามารถบรรลุผลได้ คนที่เกิดมาพร้อมกับความพรั่งพร้อม กลับ “ด้อยโอกาส” ฝึกฝนในรูปแบบดังกล่าว
คุณสมบัติของคนที่จะบรรลุความสำเร็จยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งคือ“กล้าเสี่ยง” ที่จะตั้งเป้าไว้สูง และกล้าใช้ยุทธศาสตร์ใหม่ๆ ที่แหวกแนว
เขาสรุปว่า อำนาจ ทรัพย์ และสุขภาพไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ชีวิต หรือระบบที่ประสบความสำเร็จเสมอไป ในหลายกรณี การขาด ๓ สิ่งนี้อาจกลับเป็นพลังขับดันให้บรรลุความสำเร็จ โดยพัฒนาสมรรถนะพิเศษภายในตนขึ้นมาชดเชย
วิจารณ์ พานิช
๑๘ ก.ค. ๖๑
ไม่มีความเห็น