อาบัติ คือการต้อง, การล่วงละเมิด, เป็นโทษที่เกิดแต่การละเมิดสิกขาบท หรือข้อห้ามแห่งภิกษุ มี ๗ อย่าง คือ ปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฎ ทุพภาษิต
มีโทษ ๓ สถาน คือ
1. โทษสถานหนัก เรียกว่า ครุโทษ หรือ มหันตโทษ ทำให้ภิกษุผู้ต้องอาบัติขาดจากความเป็นภิกษุ ได้แก่ อาบัติปาราชิก ซึ่งเรียกว่า ครุกาบัติ
2. โทษสถานกลาง เรียกว่า มัชฌิมโทษ ทำให้ภิกษุผู้ต้องอาบัติต้องอยู่กรรมก่อนจึงจะพ้นโทษ ได้แก่ อาบัติสังฆาทิเสส
3. โทษสถานเบา เรียกว่า ลหุโทษ ทำให้ภิกษุผู้ต้องอาบัติ ต้องปลงอาบัติ คือ บอกอาบัติของตนแก่ภิกษุด้วยกัน
อาบัติ 7 อย่างนี้จัดรวมเป็นประเภทได้หลายแบบโดยมากจัดเป็น 2 คือ
1.ครุกาบัติ อาบัติหนัก (ปาราชิกและสังฆาทิเสส)
2. ลหุกาบัติ อาบัติเบา (อาบัติ 5 อย่างที่เหลือ);
หรือจัดเป็นคู่คือ
1. ทุฏฐลลาบัติ อาบัติชั่วหยาบ
2. อทุฏฐลลาบัติ อาบัติไม่ชั่วหยาบ;
1. อเทสนาคามินี อาบัติที่ไม่พ้นได้ด้วยการแสดง
2. เทสนาคามินี อาบัติที่พ้นได้ด้วยการแสดง คือเปิดเผยความผิดของตน
และจัดเป็นคู่แบบตรงกันข้ามคือ 1. อเตกิจฉา เยียวยาแก้ไขไม่ได้ (ปาราชิก)
2. สเตกิจฉา เยียวยาแก้ไขได้ (อาบัติ 6 อย่างที่เหลือ);
1. อนวเสส ไม่มีส่วนเหลือ
2. สาวเสส ยังมีส่วนเหลือ;
1. อัปปฏิกัมม์ หรือ อปฏิกรรม ทำคืนไม่ได้ คือแก้ไขไม่ได้
2. สัปปฏิกัมม์ หรือ สปฏิกรรม ยังทำคืนได้ คือแก้ไขได้
พระพุทธเจ้าได้กำหนดสิกขาบทหรือพระวินัยไว้ให้ปฏิบัติตามหรือเรียนรู้เพื่อประโยชน์ 10 ประการ
1.เพื่อความดีแห่งหมู่สงฆ์
2.เพื่อความสำราญ (ไม่เดือดร้อน) แห่งหมู่
3.เพื่อกำจัดบุคคลเก้อยาก (หน้าด้าน, ไม่ละอาย)
4.เพื่อความอยู่เย็นผาสุกแห่งผู้มีศีลเป็นที่รัก
5.เพื่อระวังป้องกันอาสวะที่เกิดในปัจจุบัน(กิเลสที่หมักหมม นอนเนื่องทับถมอยู่ในจิต)
6.เพื่อระวังกำจัดอาสวะ(กิเลสที่หมักหมม นอนเนื่องทับถมอยู่ในจิต) ที่จะมีต่อไปวันข้างหน้า
7.เพื่อความเลื่อมใสของผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส
8.เพื่อความเจริญยิ่งๆ ของผู้เลื่อมใสแล้ว
9.เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม (ธรรมอันดี)
10.เพื่ออุดหนุนหรือถือตามพระวินัย
ไม่มีความเห็น