ข้อโต้งแย้งนี้ ผมเขียนขึ้นเพื่อตอบคำถาม และโต้แย้งในกลุ่ม "วิเคราะห์ประวัติศาสตร์" ใน Facebook (https://www.facebook.com/group...) ซึ่งได้ถกเถียงกันอย่างน่าสนใจ ข้อเขียนนี้ผมเขียนขึ้นเพื่อตอยคำถามดังกล่าว
1) ผมยังไม่ได้บอกเลยนะครับ จากข้อความว่า “โนราห์ (ภาคใต้)” แสดงเรื่องพระสุธน – มโนราห์ เพราะจากการสอบถามและรวบรวมข้อมูลเมื่อครั้งผมไปสงขลา โนราห์ (ภาคใต้) มีการแสดงออกไปหลายอย่าง ทั้งการร้องเพลงปฏิพากษ์โต้ตอบกัน หรืออาจจะมีการประกอบพิธีกรรมด้วย เช่น พิธีไหว้ครู การรำแก้บน การลงโรงครู
2) ผมกำลังตั้งข้อสังเกตคำว่า “มโนราห์” หรือ “โนราห์” มันมีนัยเชิงประวัติของ “คำ” ที่สืบกันมา มิใช่ปรากฏแค่ในถิ่นใต้อย่างเดียว คำนี้มีในถิ่นอื่นด้วย ทั้งในลาว อีสาน เชียงรุ้ง แสนหวี อยุธยา กรุงเทพและภาคใต้ของไทย มันกำลังบ่งบอกว่า “โนราห์” คือรากร่วมในเชิงประวัติศาสตร์บอกความเป็นมาของคนที่ใช้ภาษาตระกูลไท – กะไดด้วย ว่ามีการสืบทอดหรือร่วมใช้กันในทางภาษา ถ้าเราบอกว่ารับ “โนราห์” มาจากอินเดียจริง ผมก็อย่างให้ช่วยอธิบายที่มาของคำว่า “โนราห์” เพื่อเป็นคลังข้อมูลเสริมปัญญาของผมหน่อย ว่ามาจากรัฐไหนของอินเดีย และมีรากศัพท์ว่าอย่างไร เป็นคำบาลี สันสฤต มคธ ฮินดี ถ้าได้ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการค้นคว้าต่อไปมากครับ
3) การแต่งตัวของโนราห์คล้ายคลึงกับกินรี หรือนก อีกทั้งองค์ประกอบของการโนราห์นั้น ต้องมีลูกคู่ ประมาณ 5 – 7 (คล้ายคลึงลักษณะของการเล่นเพลงปฏิพากษ์ของกลุ่มวัฒนธรรมไทย – ลาว) และต้องมีตัวตลกประจำโรงที่เรียกว่า “พราน” มีตัวตลกหญิงที่เรียกว่า “ทาสี” ซึ่งหากเราสังเกตจะเห็นว่าพราน เป็นโครงของนิทานเรื่องพระสุธน – มโนราห์ด้วย อีกทั้งตัวละครแต่งตัวคล้ายกินรี การร่ายรำคล้ายกินรี ก็ทำให้เราเห็นว่าเค้าเรื่องเดิมน่าจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับพระสุธน – มโนราห์ไม่มากก็น้อย
ถ้าผมจะขอคัดลอกทัศนะของท่านอาจารย์สุทธิพงษ์ วงศ์ไพบูลย์ ปราชญ์มหาวิทยาลัยทักษิณ กล่าวว่า “มโนราห์ เป็นการละเล่นพื้นเมืองชาวใต้มายาวนาน เมื่อละครชาตรี เคลื่อนสู่ภาคกลาง ชาวใต้เห็นว่ามีลักษณะใกล้ละครจึงเรียก ละครชาตรี ต่อมามีผู้คิดเอาเนื้อเรื่อง บางตอนของนิทานเรื่องพระสุธน (ตอนพรานบุญจับนางกินรีได้นางมโนราห์) มาดัดแปลงเป็นแบบชาตรี ดังที่ปรากฏเป็นที่ติดใจของผู้ชม ติดใจในเนื้อเรื่อง รูปร่างลักษณะ จึงก่อให้มีการปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายบางส่วน มีการประดิษฐ์ท่ารำสอดคล้องกับลีลาของกินรีและแม้กระทั่งพรานบุญ ก็ถูกยืมชื่อมาใช้เป็นตัวตลก สิ่งเหล่านี้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของชาตรี ความนิยมเล่นเรื่องนี้บ่อย ๆ ชนชาวบ้านเรียกว่า โนราห์” อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของอาจารย์ชาวใต้นะครับ ผู้สร้างสถาบันทักษิณคดีศึกษา ที่ผมเคยไปทัศนศึกษา (อ่านได้เพิ่มเติม : http://www.thapra.lib.su.ac.th...)
4) อีกอย่างที่ผมอยากให้สังเกต คือ การว่ากลอนของโนราห์เป็นการว่า “กลอน” อาจจะเป็นกลอนสดหรือกลอนที่ประพันธ์ไว้แล้ว กลอนเป็นคำประพันธ์ของกลุ่มวัฒนธรรมไทย – ลาว มีสัมผัสในวรรคและสัมผัสเป็นสระ และตัวสะกดเดียวกัน กลอนลักษณะปรากฏเฉพาะในกลุ่มวัฒนธรรมลาว – ไทย ถ้าหากกลอนมีในอินเดียตามที่ผู้กล่าวว่าโนราห์มากจากอินเดียจริง ก็ขอให้แจ้งเบาะแสจะเป็นการดีต่อการศึกษาอย่างยิ่ง
ท่าที่หนึ่งประนมมือขึ้นตรงหน้า
ไหว้พ่อแม่ที่มาอย่าเย้ยสรวล
ท่าที่สองจีบไว้ข้างอย่างกระบวน
ที่สามเลื่อนเปลี่ยนมือขวาซัดท่ารำ
ท่าท่าสี่จีบไว้ข้างวางเพียงเอว
เปลี่ยนมือเร็วท่าที่ห้าดูน่าขำ
ท่าที่หกจีบไว้หลังตั้งประจำ
เปลี่ยนมือรำท่าที่เจ็ดขึ้นให้เด็ดดี
ท่าที่แปดจีบไว้ข้างวางเพียงบ่า
เก้ามือขวาซัดไว้ให้เข้าที่
ท่าที่สิบจีบเหมอหน้าให้ท่าพอดี
สิบเอ็ดมีเปลี่ยนมือรำทำตามครู
ท่าสิบสองเขาควายซัดให้เป็นวง
จุดประสงค์เครื่องหมายไว้เพียงหู
รำท่าสิบสองให้พี่น้องดู
ได้ทำตามครูสอนแต่ก่อนกาล
แล้วรำท่าแม่ลายขยายท่า
ตามโนราแบบศิลป์ในถิ่นฐาน
ได้รำตามครูสอนแต่ก่อนกาล
แบบโบราณศิลป์ใช้ปักษ์ใต้ไทย
(นายหีด บุญหนูกลับ ผู้แต่ง)
จากบทกลอนผมไม่เห็นว่าจะแตกต่างจากกลอนสุภาพ หรือเพลงยาวเลยสักนิดเดียว หากจะต่างก็คงเป็นเรื่องของสำเนียง
5) ประวัติต่าง ๆ ที่พี่ ๆ กล่าวมา จะเห็นว่ามันย่อมแตกต่างกันไป ขุนอุปถัมภ์นรากร (พุ่ม เทวา) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ , เจิม เศรษฐ์ณรงค์ (แนวคิดในไทย) ส่วนแนวคิดของธนิต อยู่โพธิ์ ที่บอกว่ามาจากคัมภีร์ทิวยาวทาน ที่มีชื่อเรื่องว่า “สุธนาวทาน” เป็นคัมภีร์ชาดกภาษาสันสฤตของพุทธศาสนามหายานนั้น นั้น ผมไม่เห็นว่ามันจะกลายคำ หรือตัวอักษรมาเป็นพระสุธน – มโนราห์ เลยด้วยซ้ำ แต่สุธนชาดก เป็นเรื่องปัญญาสชาดก ที่พระเถระนักปราชญ์ชาวเชียงใหม่ได้รวบรวมเรื่องราวปรัมปราที่เป็นนิทานพื้นถิ่นแพร่หลายในยุคนั้น แล้วนำมารจนาเป็นชาดกขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. 2000 - 22 โดยเขียนไว้ด้วยภาษาบาลี มีทั้งคำประพันธ์ที่เป็นร้อยแก้วและบทคาถาหรือบทร้อยกรองทั้งสิ้น 50 ชาดก สิ่งนี้เราจะเห็นการแพร่ของวัฒนธรรม ในเมื่อปัญญาสชาดกถูกประพันธ์ขึ้น
6) โนราห์ (ภาคใต้) อาจจะพัฒนามาจาก “มะโย่ง” ของมาลายู ตามแนวคิดของชวน เพชรแก้ว หรือจากอื่น ๆ ก็ได้ ซึ่งถูกรับ / สร้าง / ถ่ายทอดกันออกมาเป็นศิลปะการแสดง แต่คำว่า “โนราห์” หรือลักษณะคำประพันธ์ เค้าโครงเรื่องดังกล่าว มันเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เห็นการเคลื่อนตัวของภาษา และวรรณกรรมลงไปสู่ภาคใต้ หากเป็นอินเดียจ๋า ตามที่ท่านได้กล่าวมา จะเป็นบุญตาแก่ผมมากครับผม
อันนี้ เป็นวิทยานิพนธ์และบทความที่ผมเคยอ่านหลังจากกลับจากสถาบันทักษิณคดีศึกษา แต่จำไม่ได้ว่ามาจากไหนบ้าง นำมาแบ่งปันทุกท่านครับ ไม่มีเป็นเอกสารส่วนมากมีแต่ไฟล์ เพราะบ้านผมอยู่ไกลห่างจากใต้ เกือบพันกว่ากิโลเมตรครับ
http://www.thapra.lib.su.ac.th/objects/thesis/fulltext/thapra/Sirumpa_Chulnaul/fulltext.pdf
http://www.thapra.lib.su.ac.th/objects/thesis/fulltext/thapra/Thanaporn_Phophet/fulltext.pdf
http://digi.library.tu.ac.th/thesis/lib/1098/03chapter2.pdf
http://digi.library.tu.ac.th/thesis/sw/2400/12CHAPTER_2.pdf
http://www.codi.or.th/downloads/knowledge/Research/Research_080253-1.pdf
เรื่องสุธนชาดก ในปัญญาสชาดก ที่แต่งขึ้นโดยภิกษุชาวเชียงใหม่ครับ
http://www.finearts.go.th/chiangmailibrary/index.php/2016-08-20-05-05-37/book/229?page=3
ไม่มีความเห็น