ในปัจจุบันยุคสมัยการเรียนรู้ มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก จากยุคสมัยเก่า เก่า ซึ่งในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงการใช้อินเตอร์เน็ตมากขึ้น เด็กสามารถหาความรู้ได้ตลอดเวลา ตลอดเวลาไม่ใช่แค่ในห้องเรียนเท่านั้น ข้อมูลข่าวสารจะมีตลอดเวลาทำให้เราสามารถสอนหนังสือได้มากกว่าในห้องเรียน เทคโนโลยีในปัจจุบันมาเร็ว
-
กิจกรรมเรียนรู้ผ่านเรื่องเล่า เป็นการฝึกฝนให้เด็กมีทักษะการพูดและการแสดงออกที่ดี
-
กิจกรรมเรียนรู้ด้วยการคิด ช่วยให้เด็กฝึกฝนการคิดวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ
-
กิจกรรมเรียนรู้ด้วยโครงงาน การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการลงมือปฏิบัติ
-
กิจกรรมเรียนรู้นอกห้องเรียน ความรู้ไม่เคยถูกปิดกัน ในทุกๆ สถานที่คือการเรียนรู้
-
กิจกรรมเรียนรู้ด้วยการอ่าน เมื่อได้อ่านเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง จะทำให้เด็กเกิดความชำนาญในการอ่าน การสรุปใจความ การวิเคราะห์ ฯลฯ
นักเรียนได้อะไรจากกิจกรรม “เรียนรู้คือความสุข”
นับเป็นโอกาสดีสำหรับเด็กๆ ในยุคนี้ ที่ได้เกิดมาในยุคสังคมแห่งการเรียนรู้ การเข้าถึงแหล่งความรู้ทำได้หลายวิธีและสะดวกอย่างมาก ซึ่งเปรียบเทียบไม่ได้เลยกับโลกในยุคเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าห้องสมุดจะเป็นแหล่งเรียนรู้เพียงแห่งเดียวและห้องสมุดก็มัก จะมีแหล่งข้อมูลอย่างจำกัดเป็นอย่างมาก
แหล่งข้อมูลที่เด็กๆ สามารถเข้าถึงได้ น่าสนใจและเหมาะสมกับวัย แต่ไม่ได้บรรจุอยู่ในหลักสูตรยังมีอยู่มากมาย “เรียนรู้คือความสุข” เป็นกิจกรรมมีรูปแบบการดำเนินกิจกรรมหลายหลากที่น่าสนุก ชวนติดตามและเปิดโลกทัศน์การเรียนรู้ให้กับเด็กๆ กิจกรรม “เรียนรู้คือความสุข” ได้ให้อะไรมากมายหลายอย่างกับนักเรียนที่โรงเรียนฯ
- เปิดโลกทัศน์นักเรียนให้กว้างขวาง รู้จักโลกรอบตัวของพวกเขา
- สร้างความทันสมัยในเรื่องข่าวสารข้อมูล ทำให้นักเรียนได้รับรู้ข้อมูล เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ บุคคล และเหตุการณ์รอบตัวทั้งในแนวกว้างและแนวลึก
- บูรณาการความรู้ที่เรียนในกลุ่มสาระวิชาต่างๆ สู่กิจกรรมการเรียนรู้ เป็นการยกระดับทักษะการเรียนรู้
- สร้างเจตคติที่ถูกต้องต่อการเรียนรู้ ทำให้นักเรียนเห็นการเรียนรู้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า มีความสุขกับการได้เรียนรู้ เป็นพื้นฐานสำคัญต่อการพัฒนาตนเองเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต (life-long learners)
- พัฒนาทักษะและตรรกะในการคิดทั้งในเชิงวิเคราะห์เชิงกระบวนการ เชิงวิพากษ์และเชิงสร้างสรรค์(critical and creative thinking)
- ฝึกให้นักเรียนได้คิดในระดับที่สูงขึ้น (higher orderthinking)
- พัฒนาทักษะด้านสังคม ในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
- กระตุ้นให้กล้าแสดงออกซึ่งความคิดและความคิดเห็น กล้าคิด กล้าซักถามในสิ่งที่ตนกระหายใคร่รู้
- ฯลฯ
เรียนรู้ผ่านเรื่องเล่า
เรียนรู้ผ่านเรื่องเล่า (Learn through Stories)
เด็กๆ กับเรื่องเล่า
เด็กทุกคนล้วนมีความใฝ่รู้ และมีความสุขกับการได้ฟัง ได้ชม เพลิดเพลิน เข้ามีส่วนร่วม และเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์การเรียนรู้ในกิจกรรมเรื่องเล่าที่หลายหลาก ประเภทของเรื่องเล่าที่เด็กชอบที่จะฟังมีอยู่มากมายเช่น นิทาน ตำนาน ชีวิตสัตว์ประวัติศาสตร์ เรื่องเกี่ยวกับบุคคล เรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ สถานที่ที่น่าสนใจ เรื่องลี้ลับ ฯลฯ
กิจกรรมเรียนรู้ผ่านเรื่องเล่าจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับลักษณะของนักเรียนดังกล่าวข้างต้น และพัฒนานักเรียนในหลายด้าน:
- เป็นกิจกรรมเรียนรู้ที่ไม่จำกัดขอบเขต จัดให้เหมาะสมสอดคล้องกับระดับของนักเรียนได้ง่าย
- เด็กๆ ได้รับรู้เรื่องราวรอบตัว ทำให้เปิดกว้างต่อการคิดและการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างเต็มใจ โดยไม่คำนึงว่าเรื่องนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับวิชาที่เรียนในระบบหรือไม่
- ยกระดับโลกทัศน์ให้กับนักเรียนได้อย่างกว้างขวาง
- สร้างให้เด็กเห็นคุณค่าของการเรียนรู้ และทำให้นักเรียนได้ค่อยๆ ซึมซับเจตคติที่ถูกต้องต่อการเรียนรู้ อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาตนเองสู่การเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต
- ขยายขอบเขตการเรียนรู้ในกลุ่มสาระวิชามุมมองที่กว้างขวางและ/หรือลึกซึ้งขึ้น
- เด็กๆ ได้เห็นและเข้าใจถึงวิธีการค้นคว้าข้อมูล เพื่อการนำเสนอ
เรียนรู้ด้วยการคิด
แม้ว่าในห้องเรียน นักเรียนจะได้รับการพัฒนาการคิดอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เป็นการดำเนินการที่ผสมผสานไปกับเนื้อหาในกรอบของหลักสูตรโรงเรียนฯ โรงเรียนฯจึงได้พัฒนากิจกรรมเรียนรู้ด้วยการคิดขึ้นโดยใช้เวลาโฮมรูมวันละประมาณ30 นาทีหลังกิจกรรมเรียนรู้ผ่านเรื่องเล่า กิจกรรมดังกล่าวนี้เป็นกิจกรรมปลายเปิดเพื่อพัฒนากระบวนการคิดในด้านต่างๆ ทั้งที่อยู่ในและนอกเหนือหลักสูตร
เรียนรู้ด้วยโครงงาน
เรียนรู้ด้วยโครงงาน (Learn Through Projects)
โครงงานเป็นการเรียนรู้ที่สร้างแรงบันดาลใจ ความสำเร็จและพลังให้กับนักเรียน
การเรียนรู้ด้วยโครงงาน สร้างแรงบันดาลใจ ความสำเร็จและพลัง ให้กับนักเรียน ได้โดย
- ให้ประสบการณ์นอกเหนือไปจากชั้นเรียน
- เสริมสร้างทักษะสำคัญสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ การคิดเชิงวิพากษ์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น และความสร้างสรรค์
- ให้นักเรียนได้มีโอกาสบูรณาการเทคโนโลยีเข้าสู่ชั้นเรียน และนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุสู่เป้าหมาย แทนที่จะเรียนแล้วจบลงตรงนั้น
- ให้โอกาสเด็กได้ประยุกต์ใช้ทักษะที่ได้รับจากการเรียนการสอนในระบบ
- เพิ่มพูนความต้องการ ความสนใจ และจุดแข็งให้กับเด็กทุกคน และให้เด็กได้มีโอกาสทำงานด้วยจังหวะความเร็วของตน
- สร้างให้เด็กเกิด “สำนึกในเป้าหมาย (sense of purpose)” และเสริมสร้างการตระหนักในคุณค่าของตน (self-esteem)
- พัฒนาทักษะการอ่านเขียนและการสื่อสารให้แหลมคมยิ่งขึ้น โดยให้เด็กสามารถใช้สื่อต่างๆ เพื่อแบ่งปันกระบวนการและผลผลิตของตนต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสม
- บูรณาการทักษะและความรู้ในเนื้อหารายวิชาต่างๆ เพื่อให้เด็กได้เห็นและสร้างการเชื่อมโยงภายในหลักสูตร
เกณฑ์การกำหนดหัวข้อโครงงาน
- มีสภาพความเป็นจริง เป็นรูปธรรม
- สอดคล้องกับหลักสูตร
- สอดคล้องกับระดับความรู้ความสามารถและวัยของผู้เรียน
- เป็นสิ่งที่ผู้เรียนสนใจ
- ตอบสนองต่อความกระหายใคร่รู้ของเด็ก
ข้อดีของการเรียนรู้การเรียนรู้ด้วยโครงงาน
- การออกแบบโครงงานที่ดีกระตุ้นให้เกิดการค้นคว้าอย่างกระตือรือร้นและใช้ทักษะการคิดขั้นสูง
- เป็นการยกระดับศักยภาพการรับรู้สิ่งใหม่ๆ ให้กับตัวนักเรียน
- ช่วยให้นักเรียนรู้จักการค้นคว้าและสร้างสรรค์ความรู้เชิงนวัตกรรมด้วยตนเอง
- พัฒนาการทำงานแบบร่วมมือ และการสื่อสาร
- ในกิจกรรมโครงงาน นักเรียนจะตั้งเป้าหมายการทำงานให้กับตัวเอง นับเป็นการฝึกตั้งเป้าหมายชีวิตควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านอื่นๆ
- ช่วยพัฒนาความตระหนักในคุณค่าของตนเอง (self-esteem) ที่โดกปกติแล้ว ในการเรียนการสอนในระบบ เด็กมักประสบปัญหาเมื่อสอบได้ไม่ดีเท่าเพื่อน
- พัฒนาเจตคติต่อการเรียนรู้ที่ถูกต้อง
- หากผู้เรียนมีส่วนรับผิดชอบในโครงงาน ผลสัมฤทธิ์จะมีค่าเท่ากับหรือสูงกว่าการเรียนรู้แบบอื่น
- เด็กได้เห็นการเชื่อมโยงของความรู้ในวิชาต่างๆ
- ช่วยให้เกิดการทำงานแบบร่วมมือกับเพื่อนครูด้วยกัน
- เป็นการพัฒนาคุณภาพด้านวิชาชีพครู
- ครูได้ค้นพบรูปแบบของวิธีสอนที่เหมาะสมกับความหลากหลายของนักเรียน และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานสอนในระบบของตนได้ในหลายโอกาส
เรียนรู้นอกห้องเรียน
เรียนรู้นอกห้องเรียน (Learn Beyond Classroom) กิจกรรมเรียนรู้นอกห้องเรียน เป็นกิจกรรมสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนฯ เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสสัมผัสกับแหล่งเรียนรู้จริง และยังเป็นโอกาสที่ครูและนักเรียนได้ทำกิจกรรมร่วมกันนอกโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางเที่ยวปิดท้าย จะเป็นการพักแรมเป็นเวลา 1 คืน ในการเดินทางเพื่อเรียนรู้นอกห้องเรียนทุกครั้ง จะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มละ 10-15 คน ประกอบกับการเตรียมการล่วงหน้า ทำให้การทำกิจกรรมเรียนรู้นอกห้องเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นักเรียนเกือบไม่ต้องเดินเรียงแถวหรือยืนรอนานซึ่งทำให้เสียบรรยากาศและโอกาสเรียนรู้ คุณครูแต่ละกลุ่มจะมีข้อมูลและมีความพร้อมในการดูแลนักเรียนเพื่อการเรียนรู้ดังกล่าว การจัดการเรียนรู้นอกโรงเรียน ของโรงเรียนอัตตาภิวัฒน์จะดำเนินไปอย่างมีระบบและมี 3 ขั้นตอนคือ
เรียนรู้ด้วยการอ่าน
อ่านเพื่ออะไร (Reasons to Read)
- การอ่านช่วยให้เราเป็นบุคคลที่น่าสนใจ (Reading helps you become an interesting person.)
- การอ่านช่วยให้เราเขียนได้ดี (Reading helps you learn how to write correctly.)
- การอ่านให้ความเพลิดเพลิน (Reading entertains you.)
- การอ่านสอนให้เราได้รู้จักสิ่งใหม่ๆ (Reading teaches you about things unfamiliar to you.)
- การอ่านพาเราไปดินแดนที่เราไม่เคยไป (Reading helps you to places you’ve never visited.)
- การอ่านพาเราไปสู่กาลเวลาที่เราไม่เคยได้ประสบ (Reading takes you to times you’ve never experienced.)
- การอ่านแนะนำให้เรารู้จักกับบุคคลที่เราไม่เคยเจอ (Reading introduces you to people you’ve never met.)
- การอ่านแนะนำให้เรารับความคิดใหม่ๆ (Reading introduces you to new ideas.)
ความเข้าใจเกี่ยวกับการอ่าน
เมื่อพูดถึงการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอ่าน วิชาที่เราจะคิดถึงทันทีได้แก่ วิชาภาษาไทยและ/หรือวิชาภาษาอังกฤษ และโดยส่วนใหญ่แล้ว เรามักจะคิดว่าก็มีอยู่เพียงสองวิชานี้เท่านั้น ที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน แท้ที่จริงแล้วการเรียนการสอนในวิชาทางภาษาส่วนใหญ่ เป็นการพัฒนาความสามารถให้อ่านได้ ให้เข้าใจในหลักภาษา (Learn to Read) เพื่อนำเอาความสามารถเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่ออ่านได้เป็น สามารถคิดวิเคราะห์เนื้อความที่อ่าน ในแง่มุมต่างๆ ในการพอกพูนความรู้ความเข้าใจได้ (Read to Learn)
การเรียนการสอนที่มากกว่า " ในชั้นเรียน " จะเป็นส่วนสำคัญในการที่จะให้นักเรียนให้ความสำคัญในการเรียน การทำให้นักเรียนมีความสุขต่อการเรียนแล้วอยากมาเรียน ครูต้องรักนักเรียนเหมือนคนในครอบครัวให้มากที่สุด
ขอบคุณ http://attaphiwat.ac.th/book/e...