ในประเทศไทยกลุ่มพลังงานที่มีแนวโน้มการผลิตเข้าใกล้เป้าหมายมากที่สุดได้แก่ พลังงานชีวมวล รองลงมาคือ พลังงานแสงอาทิตย์ ขยะ และพลังงานลม และในส่วนของพลังงานชีวมวลถือเป็นพลังงานทดแทนในกลุ่มแรกๆ ที่ภาครัฐให้การสนับสนุน เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมทำให้มีวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในปริมาณที่มาก ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นพลังงานทางเลือกเพื่อผลิตไฟฟ้าได้ ทำให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลเข้าใกล้เป้าหมายค่อนข้างเร็วกว่าประเภทอื่น สำหรับในระยะต่อไป โอกาสด้านการลงทุนในพลังงานประเภทนี้ น่าจะเหมาะสำหรับผู้ประกอบในธุรกิจการเกษตรที่มีวัตถุดิบอยู่แล้ว เช่น โรงงานน้ำมันปาล์ม โรงงานน้ำตาล โรงไม้ยาง โรงสี ฯลฯ ที่ต้องการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ภายในธุรกิจของตนเอง เพื่อลดภาระต้นทุนค่าไฟฟ้าและสามารถขายไฟส่วนเหลือบางส่วนคืนกลับให้ กฟผ. ในรูปของการขายไฟแบบผู้ผลิตไฟรายเล็กและรายเล็กมาก มากกว่าที่จะเป็นการเข้ามาลงทุนของผู้ประกอบการรายใหม่ที่ไม่ได้มี เชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตอยู่ก่อนแล้ว โดยกลุ่มชีวมวลที่ค่อนข้างมีศักยภาพที่สามารถดึงดูดการลงทุนได้ในระยะต่อไป ได้แก่ ประเภทอ้อย และชีวมวลประเภทแกลบ
หากมองไประยะข้างหน้า นอกเหนือจากตลาดในประเทศแล้ว ธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์อาจมีแนวโน้มกระจายไปสู่ต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการบางส่วนเริ่มหันมาเจาะตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในแถบเอเชีย (ญี่ปุ่นและอาเซียน ที่มีศักยภาพในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ได้ปริมาณมาก) เนื่องจากตลาดในประเทศมีความคืบหน้าตามเป้าหมายค่อนข้างมาก และการมองหาตลาดต่างประเทศก็เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถต่อยอดโอกาสทางธุรกิจได้เพิ่มมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ ส่งผลให้ในระยะหลังภาครัฐจึงเริ่มหันมาให้การสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนประเภทอื่นๆ เพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ก้าวไปสู่แผนที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ ว่าจะต้องมีสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนให้ถึงร้อยละ 20 ของการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย โดยกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FIT ที่มีระยะเวลาสัญญาซื้อขายไฟฟ้านาน 20-25 ปี จูงใจให้เกิดการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนอื่นๆ มากขึ้น อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ ขยะและพลังงานลม ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดีพอสมควร
ไม่มีความเห็น