''ปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ “ครู” คือผู้สานฝัน''


ฉวีวรรณ สุวรรณาภา (2549)

 

  โลกปัจจุบันมีความเจริญรุดหน้าด้านความรู้  ข้อมูลข่าวสาร  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทำให้สังคมมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เกิดปัญหาน้อยใหญ่ ตามมามากมาย  ผู้คนที่จะดำรงอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข  และสร้างสรรค์สังคมได้  ต้องเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้  ใฝ่ดี  และมีทักษะชีวิตที่เหมาะสมเพียงพอ           การจัดการเรียนรู้แบบเดิม ๆ  ที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ความรู้จากครู  หรือจากหนังสือเพียงไม่กี่เล่ม  ไม่สามารถพัฒนาคนให้มีบุคลิกภาพและคุณลักษณะที่เหมาะสมต่อการเผชิญโลกอนาคตได้  การจัดการศึกษายุคใหม่  ให้เป็นไปตามแนวทางที่เหมาะสมจึงต้องมีการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้  โดยมุ่งพัฒนาการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เรียนรู้อย่างมีความสุข  มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน  ให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มศักยภาพของตนเอง  สามารถนำผลการเรียนรู้มาใช้ดำรงชีวิตอย่างมีความสุข

            การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้  คือ  พลังที่จะขับเคลื่อนประชาคมไทย  ไปสู่อนาคตอย่างรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง  แต่การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ไม่ใช่ยาวิเศษขนานใหม่ที่จะลอกเลียนสูตรสำเร็จเสมอไป ถือปฏิบัติเหมือนกันทั่วประเทศ   แก่นแท้ของการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ คือ ความตระหนักในศักยภาพของทุกคนที่จะเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง หลากหลาย  สนุกสนาน    ท้าทายและมั่นใจ

            การปฏิรูปหลักสูตร  เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการพัฒนาหลักสูตรและการใช้หลักสูตรเพื่อแก้ไขจุดอ่อน  จุดด้อย ของระบบหลักสูตรเดิมที่ไม่ทันสมัย ไม่เอื้อต่อการตอบสนองความเปลี่ยนแปลงของสังคมและไม่เอื้อต่อการจัดให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตตลอดจนไม่สามารถออกแบบให้สนองความแตกต่างระหว่างผู้เรียนที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองได้ตลอดชีวิต  การปฏิรูปหลักสูตรเป็นการเสริมสร้างให้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการกำหนดออกแบบหลักสูตรโดยครูที่โรงเรียน  และส่วนกลางเน้นที่จัดระบบ  แนะนำ  ช่วยเหลือ  ชี้นำ  ให้ตัวอย่างแก่ครู   ให้ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรฐานแกนกลางที่คนไทยต้องมีเหมือน ๆ  กันรวมทั้งส่งเสริมการดำเนินไปสู่มาตรฐาน  การนิเทศติดตาม และประเมินผลให้บรรลุมาตรฐาน  เหตุที่ต้องมีหลักสูตรระดับโรงเรียนก็เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ได้มาตราฐานสากล  มาตรฐานความเป็นไทย  มาตรฐานที่ท้องถิ่นต้องการและยกระดับมาตรฐานของภูมิปัญญาไทย เป็นโอกาสที่จะสนองสาระที่มาจากภูมิปัญญาไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้สิทธิแก่พ่อแม่  ชุมชน  ได้มีส่วนร่วมกำหนดความต้องการของท้องถิ่น

            การพัฒนาหลักสูตรระดับโรงเรียนจะมีคุณภาพหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ “ครู”  เพราะครูเป็นผู้ที่มีความรู้  ความชำนาญ และสัมผัสกับผู้เรียนอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา แต่ทั้งนี้ในการกำหนดหลักสูตรจะต้องคำนึกถึงความมีคุณภาพ   ผู้เรียน  เรียนแล้วเกิดการเรียนรู้ได้ดีเพียงใด  และสามารถบรรลุ  กรอบมาตรฐานคุณภาพผลการเรียนรู้ (Quality  Standard  Framework)  จากส่วนกลางได้  การพัฒนาหลักสูตรระดับโรงเรียนโดยลำพังแล้วครูเป็นผู้ดำเนินการแต่เพียงผู้เดียวนั้นย่อมกระทำไม่ได้  ต้องอาศัยส่วนกลางที่จะต้องสร้างความพร้อมให้แก่โรงเรียนและครู โดยจะต้องเป็นแกนสำคัญในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้  เพื่อพัฒนาคุณภาพและศักยภาพให้เพียงพอต่อการดำเนินการ

 

                มนุษย์ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของโลก กระบวนการเรียนการสอนที่ดี คือครูต้องรู้จักบูรณาการ หาหนทาง  วิธีการส่งเสริม สร้างบรรยากาศให้ผู้เรียนได้รู้จักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองโดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์   การมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนการสอนและการนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์โดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง อาศัยหลักการ   CIPPA  MODEL   ซึ่งประกอบด้วย

๑.       CONSTRUCT  ให้ผู้เรียนแสวงหาข้อมูล   ทำความเข้าใจ คิดวิเคราะห์ สรุปข้อความรู้ด้วย

ตนเอง

๒.     INTERACTION  ให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เรียนรู้แลกเปลี่ยนความคิด ประสบการณ์

แก่กันและกัน

๓.     PARTICIPATION  ให้ผู้เรียนมีบทบาทและส่วนร่วมในการเรียนรู้มากที่สุด

๔.     PROCESS/PRODUCT  ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการควบคุ่ไปกับผลงานข้อความรู้ที่

สรุปได้

๕.     APPLICATION    ให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน

(สุพล  วังสินธ์  กรมวิชาการ  วารสารวิชาการ   ปีที่  ๑)

แนวทางของ  CIPPA  MODEL   คือการจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกฝน  รวบรวมข้อมูลและสร้างสรรค์ความรู้ด้วยตนเอง    ตลอดทั้งฝึกฝนให้รู้วินัยและรับผิดชอบในการทำงาน  สำหรับกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง   จะประกอบด้วย  ๔  ขั้นตอน    คือ  ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน  ขั้นกิจกรรมการเรียนการสอน  ขั้นวิเคราะห์อภิปรายผลจากกิจกรรม  และขั้นสรุปประเมินผลการเรียนรู้  โดยแนวทาง CIPPA   จะถูกนำไปใช้ในขั้นตอนของการจัดกิจกรรม  ครูผู้สอนจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากครูผู้สอน เป็นผู้อำนวยการความสะดวก คือเป็นผู้จัดเตรียมประสบการณ์ และสื่อการเรียนการสอน รวมทั้งการหาเทคนิคและวิธีการสอนรูปแบบต่าง ๆ  เพื่อให้ผู้เรียนใช้เป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ ความรู้ด้วยตนเองและสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณภาพ คือ เป็นคนเก่ง  ดี และมีความสุข  ตลอดทั้งมองกว้าง  คิดไกล  ใฝ่รู้และเชิดชูคุณธรรม

               

ความคิดสร้างสรรค์  เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น บางครั้งจึงเป็นการยากที่จะส่งเสริมให้เด็กหรือครูคิดได้หรือมองเห็นในจิตใจ     การเป็นครู มีภาระหน้าที่สอนนักเรียนทั้งในและนอกห้องเรียนนั้นใช่ว่าจะดำเนินการได้ตามหลักการและทฤษฏีที่เคยเรียนมาได้หมดทุกประการ  มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ครูมักจะรำพึงรำพันกับตนเองว่าทำไมไม่สามารถปฏิบัติได้ตามที่ตนเองร่ำเรียนมา    ต้องมีการศึกษาหาวิธีแก้ปัญหาอยู่เสมอไม่รู้จบ     ความคิดสร้างสรรค์ เกิดจากความสามารถ  ๓  ประการ  ซึ่งสามารถพัฒนาได้ในตัวนักเรียนแต่ควรใช้และพัฒนาให้เกิดความสมดุลกัน คือ

๑.       ความสามารถในการสังเคราะห์  (Synthetic    ability)    คือ ความสามารถที่จะคิดอะไร

ได้มากกว่าสิ่งที่เห็นอยู่เป็นปกติ ได้อะไรใหม่  ๆ ขึ้นมาซึ่งคนอื่นมองไม่เห็น เช่น  เห็นสายไฟ  เห็นแผ่นพลาสติก เห็นมอเตอร์ อาจจะจับรวมกันเป็นพัดลมได้

๒.     ความสามารถในการวิเคราะห์  (Analytical    ability)  คือความสามารถในการคิดแยก

แยะออกเป็นส่วน ๆ มีการประเมินผล มองเห็นจุดดี  คิดนำจุดดีไปใช้ประโยชน์

๓.     ความสามารถในทางปฏิบัติ  (Practial  ability)  คือ ความสามารถในการเปลี่ยนทฤษฎี

เป็นปฎิบัติ หรือเปลี่ยนความคิดเชิงนามธรรมให้เป็นรูปธรรม

(รศ.ดร.สุรศักดิ์   หลาบมาลา.  กรมวิชาการ  วารสารวิชาการ  ปีที่  ๑  ฉบับที่  ๑ )

 

ความคิดสร้างสรรค์ก็คือสิ่งใหม่หรือนวตกรรมซึ่งเกิดจากการนำความสามารถในการสังเคราะห์  + ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ + ความสามารถในการปฏิบัติ นำมารวมกันแล้วยังไม่พอต้องอาศัยครู ช่วยส่งเสริมความสามารถทั้ง  ๓  ประการพัฒนาให้ความสามารถทั้ง  ๓  ประการให้สมดุลกัน  ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น  บางครั้งจึงเป็นการยากที่จะส่งเสริมให้เด็กหรือครูคิดได้  แผนที่การคิด  (Thinking  map) จึงเป็นเครื่องมือให้นักเรียนเข้าใจกระบวนการคิดและมองเห็นรูปร่างได้  เช่น  การคิดอุปมาอุปมัย  คือเปรียบเทียบสิ่งที่แตกต่างกัน  ใช้เชื่อมแนวความคิด  ๒  ประการ เปรียบเทียบกัน แผนที่การคิดชนิดนี้เรียกว่า แผนที่การคิดแบบสะพาน  (Bidge  Map)    เช่น    

 

 

 


                                ให้รักษาความดี                    เสมือน                   เกลือรักษาความเค็ม

 

                หรือแผนที่เชิงระบบขั้นต้น  (System   Map) ซึ่งเรารู้จักกันในกระบวนการ คือ  input   process  และ  output  และอาจจะมีการให้ข้อมูลย้อนกลับด้วย  เช่น 

 

 

 

สติปัญญาสูง

 

เอาใจใส่ต่อการเรียนดี

 

ผลการเรียนดี

 

เกรดเฉลี่ยสูง

 

 

 

 

 

 

 

 


วิธีการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์โดยวิธีการนำเอกแผนที่การคิด (Thinking  map)  มาสอนนักเรียน เพื่อช่วยให้นักเรียนคิดได้ดียิ่งขึ้น ครูสามารถปรับแผนที่การคิดไว้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ตามความเหมาะสม โดยแทรกลงในบทเรียนที่สอนได้

 

Storyline  Method  เป็นนวตกรรมทางการศึกษา  ที่มีการบูรณาการทั้งหลักสูตรและการเรียนการสอนโดยนำเอาเนื้อหาวิชาต่าง ๆ  มาหลอมเข้าด้วยกัน     เน้นที่องค์รวมของเนื้อหามากกว่าองค์ความรู้ของแต่ละรายวิชา   และเน้นที่การเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่าการบอกเนื้อหาของครู Storyline  Method  จะเป็นวิธีสอนที่นำเอาทฤษฎีการเรียนรู้หลายทฤษฎีมาใช้รวมกัน  เช่น  การบูรณาการ  การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม  การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง  การเรียนจากสิ่งที่ใกล้ตัวนักเรียนเชื่อมโยงออกไปสู่วิถีชีวิตจริง  การค้นคว้าหาความรู้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง  โดยมีความเชื่อว่า  “ความรู้ควรมีลักษณะเป็นองค์รวม  ผลของการเรียนรู้ขึ้นอยู่กับวิธีการได้มาซึ่งความรู้นั้น  และประสบการณ์ของผู้เรียนเป็นสำคัญและผู้เรียนจะเรียยนรู้ได้ดีผ่านการกระทำของตนเองด้วยประสบการณ์ตรง” 

การใช้  Storyline  Method  จะส่งเสริมให้เด็กกล้าคิด  กล้าพูด  กล้าแสดงออก  และมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน ครูต้องมีความสามารถในการหลอมรวมเนื้อหาหลักสูตรเข้าด้วยกัน และต้องมีทักษะในการคิดกิจกรรม  การเขียนแผนการสอนบูรณาการที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับเรื่องที่เด็กต้องเรียนรู้อย่างกลมกลืน  ตลอดทั้งการประเมินผลสัมฤทธ์ทางการเรียนของเด็กให้เป็นที่ยอมรับว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 

 

                    การพัฒนาหลักสูตรระดับโรงเรียน ควรใช้ระบบ   CIPPA    คือ  การใช้รูปแบบและการดำเนินการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง  ,  Thinking  map  คือ  การสอนเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์โดยวิธีการนำเอาแผนที่ความคิด และ Storyline  Method  คือ  เส้นทางการเรียนรู้  ล้วนแล้วแต่เป็นแนวคิดและวิธีการเน้นความสำคัญของผู้เรียนหรือยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง  ทุกแนวคิดและทุกวิธีการคาดหวัง “ครู”  เป็นบุคคลที่มีคุณภาพและศักยภาพในหลาย ๆ  ด้าน เช่น  เป็นตัวจักรสำคัญในการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างโอกาส  ประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กกระตุ้น  ชี้แนะ  สนับสนุนช่วยเหลือให้เด็กได้มีการเรียนรู้ด้วยตนเอง  เรียนรู้อย่างมีความสุข  สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้ไปสู่วิถีชีวิตจริงของเด็กได้

                นอกจากนี้ยังคาดหวังให้   “ครู”   มีความสามารถในการบูรณาการหลักสูตรที่สอดคล้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่น  การจัดทำแผนการสอนแบบบูรณาการ  การกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ และขอบข่ายของเนื้อหาสาระในหลักสูตรการเรียนการสอนในแต่ละระดับ  ตลอดทั้งการประเมินผลสัมฤทธิ์  การพัฒนาศักยภาพของ  “ครู”  ให้มีคุณภาพ และศักยภาพตามที่คาดหวังจึงเป็นภารกิจสำคัญต้องจัดการทำอย่างเร่งด่วน  จะต้องมีกฎหมายการศึกษาขั้นพื้นฐาน  กฎหมายครู  กฎหมายการบริหารการศึกษา  หน่วยงานทางการศึกษาในทุกระดับ  และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกส่วน  ทุกฝ่ายก็ต้องร่วมมือกันพัฒนาครู  ให้เป็นไปตามที่การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้  และการปฏิรูประบบการศึกษาที่คาดหวัง

 

หมายเลขบันทึก: 642982เขียนเมื่อ 3 ธันวาคม 2017 14:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 ธันวาคม 2017 14:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท