(126)
วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม
ช่วงเช้าที่วัดเงียบสงบ หลวงปู่และพระภิกษุ สามเณรไปจังหันที่วัดป่าหนองเป็ด ประมาณจะครบหนึ่งปีที่มาภาวนาที่วัดไม่ได้ไปร่วมข้าวที่ศาลา
เมื่อความวุ่นวายมากขึ้น หนึ่งจากบุคคล สองจากสิ่งแวดล้อม จึงตั้งใจแยกมารับข้าวคนเดียวโดยมีแม่ออกชาวบ้านคอยดูแล รับเสร็จเร็วก็ทำภารกิจเสร็จเร็ว แม้สิ่งที่ทำพึงระลึกในใจว่าไม่เหมาะสม ใคร่ครวญในตนเอง "แม้จะไม่ผิดแต่ก็ไม่ถูก"
ในหนึ่งสัปดาห์มีเวลาอันน้อยนิดที่จะปลีกวิเวกแต่ก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะอยู่ในที่ที่สัปปายะ ค้นหาและขัดเกลาในจิตใจตนเอง ความตื่นรู้ (มีสติ มีความเข้าใจ) และความเบิกบานจะเป็นสิ่งสะท้อน (KPI)ว่าเราปฏิบัติขัดเกลาจิตใจได้มากน้อยเพียงใด "ความตื่นรู้และเบิกบาน" ยังเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสงบในใจ
การฝึกฝนเช่นนี้ดูเหมือนง่ายแต่ก็ไม่ง่าย ต้องอาศัยความพากเพียร อดทน สภาวะใจเช่นนี้จะทนได้ต่อทุกสภาวะการณ์ที่มากระทบ
กิจวัตรประจำวันที่วัดหลังรับข้าวเสร็จก็กลับเข้าโซนกุฏิอันเป็นที่พักภาวนา น้องนีกับแม่รี มานวดให้ ช่วงบ่ายภาวนาผ่านการทำภารกิจต่างๆ
สิ่งที่เรียนรู้วันนี้
1. คนที่มีบารมีอินทรีอ่อน ย่อมยากที่จะเข้าใจสภาวะธรรมอันละเอียด ดีละเอียด ชั่วละเอียดมองไม่เห็น
2. อดทนต่อการสร้างสมกำลังของจิตใจ ทำไปจนสุดกำลังไม่ต้องถามหาว่าสิ้นสุดวันไหนแน่ วันที่แน่ๆน่าจะเป็นวันตายแต่ถ้ายังไม่ตายก็ทำไปอย่างสุดกำลังทั้ง ทาน ศีล ภาวนา
3. การดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้บารมีเมตตาธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์คือ ความอบอุ่นใจ อย่างน้อยจะได้ทราบว่าอะไรถูก ผิด ควรไม่ควร เหมาะไม่เหมาะ
4. สลดใจต่อเรื่องของบุคคลที่รู้จักที่ได้รับวิบากกรรมทุกขเวทนา โอกาสมีแต่รักษาโอกาสไม่เป็นและไม่ตั้งใจที่จะอดทน เรียนรู้และรักษาโอกาสนั้น
ตกกลางคืน ประมาณสองสามทุ่มฝนตกฟ้าร้องเสียงดังยังกับท้องฟ้าระเบิดแผ่นดินแยกแตกสลาย ณ ขณะนั้นได้สวดมนต์บทอิติปิโสและพิจารณาตามเสียงแสงฟ้าแลบฟ้าผ่า นึกถึงคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ขึ้นมาทันทีว่า "จิตของเราเร็วยิ่งกว่าฟ้าแลบ"
06-05-2560
ไม่มีความเห็น