มีหลายคำถามเกิดขึ้นมากมายในหัว พร้อมกับภาวะความเครียด ซึมเศร้าที่เกิดขึ้นได้ มีความอ่อนล้าทางความคิด ด้านร่างกายและจิตใจ บางคนอาจจะไม่มีจิตใจที่จะทำกิจกรรมอะไร
จากหนังสือที่นักศึกษาได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับการรักษาทางกิจกรรมบำบัดในผู้ป่วยมะเร็ง นักศึกษาคิดว่า กระบวนการทางกิจกรรมบำบัดสามารถใช้ได้ทุกระยะในโรคมะเร็ง เพราะในทุกระยะจะพบได้ว่าผู้ป่วยต่างมีภาวะต่างๆดังที่ได้กล่าวข้างต้น แต่จะมีระดับความรุนแรงแตกต่างกันออกไป ดังนั้นผู้บำบัดควรออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับผู้ป่วย
กระบวนการทางกิจกรรมบำบัดที่พบได้แก่
ประโยชน์ ------> ผู้ป่วยสามารถจัดการการดำเนินชีวิตของตัวเองในแต่ละวันได้ว่าจะต้องทำอะไร โดยไม่อ่อนเพลียจนเกินไปและมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรคที่เป็นอยู่ ไม่มีความอ่อนล้าทางความคิด ด้านร่างกายและจิตใจจนไม่อยากทำกิจกรรมที่มีเป้าหมาย และให้เกิดความรู้สึกว่าชีวิตยังมีคุณค่า
มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในอเมริกา ได้ทำการรักษากลุ่มคนไข้ที่มีอาการดีขึ้น พบว่า 10%ของคนไข้ ดีขึ้นจากผลของยา 30%ดีขึ้นเพราะปัจจัยอื่นๆ แต่60% ดีจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเอง
ประโยชน์ ------> มีความรู้สึกสดชื่น กระตือรือร้น สามารถทำกิจกรรมได้มากขึ้น เกิดความสุขหลังจากพักผ่อนเพียงพอหรือจากการทำกิจกรรมที่ชอบ
ความอ่อนเพลีย อาจมาจากสาเหตุอื่นๆได้อีก เช่น นอนไม่พอ ซึมเศร้า เครียด ท้อถอย ไม่อยากมีชีวิตต่อไป
ประโยชน์ ------> มีการวิจัยพบว่าการมีกิจกรรมกลุ่มทำให้ลดการใช้ยาแก้ปวด ยานอนหลับ หรือยาลดความเครียดได้ มีความเข้าใจโรคที่เป็นมากขึ้น รู้สึกว่าตัวเองมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และยังรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าด้วย
จากการวิจัยที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านม พบว่า คนไข้ที่เข้าร่วมกลุ่มมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วม ประมาณ2เท่า (เฉลี่ยประมาน 36.6 เดือน และ 18.9 เดือน ตามลำดับ)
ประโยชน์ ------> การเลือกรับประทานอาหาร สามารถทำให้ภูมิต้านทานฟื้นสภาพคืนมาได้ มีเพิ่มมากขึ้นได้
อาหารที่ไม่ควรรับประทานคือ เนื้อสัตว์ และไขมันทุกประเภท อาหารที่มีรสเค็ม ควรกินผักสดและผลไม้สดมากๆ
จากงานวิจัยหลายชิ้นพบว่ากระเทียม ขิง ชาเขียว โสม แอสตรากาลัส(สมุนไพรจีน) เป็นต้น สามารถต่อต้านโรคมะเร็งได้
ขอขอบคุณหนังสือ
ไม่มีความเห็น