ภาพพจน์
ภาพพจน์ หมายถึง การใช้คำสำนวนของผู้ประพันธ์สร้างภาพพจน์ให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการและได้รับอรรถรสของบทประพันธ์นั้นได้ดียิ่งขึ้น
1.อุปมา คือ การเปรียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ได้แก่ คำว่า “เหมือน ดัง ดั่ง ราว ดุจ ประดุจ เพียง ละม้าย ปาน พ่าง” เช่น
ตัวอย่างที่ 1 เพลง หยาดเพชร
“เปรียบ...เธอเพชรงามน้ำหนึ่ง หวาน...ปานน้ำผึ้งเดือนห้า”
จากบทเพลงข้างต้น “เปรียบ...เธอเพชรงามน้ำหนึ่ง หวาน...ปานน้ำผึ้งเดือนห้า” คำว่าเปรียบและปาน เป็นอุปมา
ตัวอย่างที่ 2 เพลง ยอยศพระลอ
“ รูปดังองค์อินทร์หยาดฟ้ามาสู่ดิน โสภิณดังเดือนดวง
เหนือแผ่นดินแดนสรวงเหนือปวงหนุ่มใด”
จากบทเพลงข้างต้น คำว่า “ รูปดังองค์อินทร์หยาดฟ้ามาสู่ดิน โสภิณดังเดือนดวง” คำว่าดังเป็นอุปมา
2.อุปลักษณ์ คือ การเปรียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง โดยใช้คำว่า “เป็น คือ” เช่น
ตัวอย่างที่ 1 เพลง คู่ชีวิต
“เธอคือทุกสิ่ง ในความจริงในความฝัน คือทุกอย่างเหมือนใจต้องการ
"เธอเป็นนิทาน ที่ฉันอ่าน ก่อนหลับตาและนอนฝัน”
จากบทเพลงข้างต้น คำว่า “เธอเป็นนิทาน” เป็นอุปลักษณ์ที่เปรียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งโดยใช้คำว่า “เป็น”
ตัวอย่างที่ 2 เพลง เธอคือของขวัญ
“หากเธอเป็นภูเขา ฉันจะเป็นต้นไม้ โอบกอดเธอเอาไว้ไม่ให้เธอเหน็บหนาว
หากเธอเป็นท้องฟ้า ฉันจะเป็นเมฆสีขาว โอบกอดเธอไม่ให้เธอเหงาและเดียวดาย”
จากบทเพลงข้างต้น คำว่า “หากเธอเป็นภูเขา ฉันจะเป็นต้นไม้ หากเธอเป็นท้องฟ้า ฉันจะเป็นเมฆสีขาว”เป็นอุปลักษณ์ที่เปรียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งโดยใช้คำว่า “เป็น”
3.อธิพจน์ คือ การเปรียบเทียบโดยการกล่าวเกินจริง เช่น
ตัวอย่างที่ 1 เพลง รักไม่รู้ดับ
“ถึงจะสิ้น วิญญาณกี่ครั้ง
ฉันก็ยัง รักเธอฝังใจ
แม้จะสิ้น ดวงจันทร์ไฉไล
ไม่เป็นไร เพราะยังมีเธอ"
จากบทเพลงข้างต้น คำว่า “ถึงจะสิ้น วิญญาณกี่ครั้ง ฉันก็ยัง รักเธอฝังใจ แม้จะสิ้น ดวงจันทร์ไฉไล ไม่เป็นไร เพราะยังมีเธอ" เป็นการกล่าวเกินจริง
ตัวอย่างที่ 2 เพลง รักปักใจ
“รักปักใจ โอ้ใคร ช่วยฉันที
ทุกนาที ดังไฟมาจี้ เหลือที่บรรเทา
อาวรณ์ใจร้อนรน
พะวักพะวน ก่นซึมเซา
ตรึงฤทัย ให้หลงเมา
หัวใจกระเส่า นี่ตัวเราหรือตัวใคร”
จากบทเพลงข้างต้น คำว่า”รักปักใจ” เป็นการกล่าวเกินจริง
4.บุคคลวัตหรือบุคลาธิษฐาน คือ การสมมุติให้สิ่งไม่มีชีวิตให้สามารถแสดงกิริยาต่างๆได้เหมือนมนุษย์ เช่น
ตัวอย่าง 1 เพลง เรือเล็กควรออกจากฝั่ง
“เสียงลมคำราม ฟ้าครามพลันมืดมัว
หัวใจสั่นระรัว ฉันกลัวอะไร
ทะเลเอาจริง หรือเพียงจะวัดใจใคร
เหมือนคำขู่ท้าทาย ให้ยอมจำนน”
จากบทเพลงข้างต้น คำว่า “เสียงลมคำราม” เป็นบุคคลวัตเพราะลมไม่สามารถคำรามได้ และคำว่า ”ทะเลเอาจริง หรือเพียงจะวัดใจใคร” เป็นบุคคลวัตที่ทำให้สิ่งที่ไม่มีชีวิตกลับมีชีวิต
ตัวอย่าง 2 ไม้ขีดไฟกับดอกทานตะวัน
“เจ้าไม้ขีดไฟ ก้านน้อยเดียวดาย
แอบรักดอกทานตะวัน
แรกแย้มยามบาน อวดแสงตะวัน
ช่างงดงามเกินจะเอ่ย
ดอกเหลืองอำพัน ไม่หันมามอง
แม้เหลียวมา ยังไม่เคย
ไม้ขีดเจ้าเอ๋ย เลยได้แต่ฝัน ข้างเดียว
ดอกไม้จะบาน และหันไปตาม
แต่แสงจากดวงอาทิตย์”
จากบทเพลงข้างต้น คำว่า ”เจ้าไม้ขีดไฟ ก้านน้อยเดียวดาย แอบรักดอกทานตะวัน” ,“ดอกเหลืองอำพัน ไม่หันมามอง”และ ”ไม้ขีดเจ้าเอ๋ย เลยได้แต่ฝัน ข้างเดียว ดอกไม้จะบาน และหันไปตาม แต่แสงจากดวงอาทิตย์”เป็นบุคคลวัตเพราะเป็นสิ่งที่ไม่ชีวิตที่ให้เป็นสิ่งมีชีวิต
5.นามนัย คือ การใช้คำหรือวลีบ่งบอกคุณสมบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาแสดงแทนสิ่งนั้นทั้งหมด
ตัวอย่าง 1 เพลงจำเลยรัก
“เจ็บแค้นเคืองโกรธ โทษฉันไย
ฉันทำ อะไรให้เธอเคืองขุ่น
ปรักปรำ ฉันเป็นจำเลยของคุณ
นี่หรือพ่อนักบุญ
แท้จริงคุณคือคนป่า”
จากบทเพลงข้างต้น คำว่า” พ่อนักบุญ” หมายถึง คนดีมีศีลธรรม และคำว่า”คนป่า” หมายถึง คนที่ชอบทำร้ายทารุณ ผู้อื่น
6.สัญลักษณ์ คือ การใช้สิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่งเป็นคำที่รู้จักโดยทั่วไป เช่น
ตัวอย่าง 1 เพลง ฤดูที่แตกต่าง
“อดทนเวลาที่ฝนพรำ
อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง
เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง
ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ
ว่ามันคุ้มค่า(แค่ไหนที่เฝ้ารอ)”
จากบทเพลงข้างต้นคำว่า”ฝนพรำ”เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แทนอุปสรรคและความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์ซึ่งมนุษย์ต้องอดทนมองความเป็นไปในชีวิตและปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความเข้าใจว่ามันคือสัจธรรม เมื่อพิจารณาดูแล้วจะทำให้เราเห็นความแตกต่างในชีวิต มีขึ้นก็ต้องมีลง มีสุขก็ต้องมีทุกข์ สุดท้ายแล้วเราต้อรู้จักรอวันที่ ฝนจาง และ ฟ้าสว่าง ซึ่งหมายถึงวันที่ปัญหาทุกอย่างคลี่คลายลงและชีวิตกลับมามีความสุขอีกครั้งนั่นเอง
7.สัทพจน์ คือ การเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น
ตัวอย่าง ที่ 1 เพลง จังหวะหัวใจ
“อยู่ ๆ ใจก็ตึ๊ก ตั๊ก ก็เพราะเธอนั้นน่ารัก อยู่ อยู่ ตึ๊ก ตั๊ก
ชวนให้ผมรัก รัก อยู่ อยู่ อยู่เข้ามาใกล้ คงไม่ปล่อยไปง่าย ง่าย
ส่งสัญญาณมาหน่อยสิ ได้ ได้ ป่าว”
จากบทเพลงข้างต้น คำว่า “ตึ้ก ตึ้ก” เป็นการเลียนเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจ
8.ปฏิพากย์ คือ การใช้คำตรงกันข้ามที่มีความขัดแย้งกัน เช่น
ตัวอย่างที่ 1 เพลง ลิ้นกับฟัน
“ลิ้นกับฟัน พบกันทีไรก็เรื่องใหญ่
น้ำกับไฟ ถ้าไกลกันได้ก็ดี
หมากับแมว มาเจอะกัน สู้กันทุกที
ต่างไม่เคยมีวิธี จะพูดจา”
จากบทเพลงข้างต้น คำว่า “น้ำกับไฟ” เป็นคำตรงกันข้ามกัน และขัดแย้งกัน เพราะน้ำสามารถดับไฟได้
9.ปฏิปุจฉาหรือคำถามเชิงวาทศิลป์ คือ การตั้งคำถามโดยไม่ต้องการคำตอบ เช่น
ตัวอย่าง 1 เพลง เธอมีฉัน ฉันมีใคร
“เธอมีฉัน แต่ว่าฉันมีใคร
เมื่อฉันเหงา มีสิทธิ์ไหมได้พบเธอ
เธอยังมีฉัน แต่ไม่รู้ทำไม
ชีวิตฉันเหมือนไม่มีใครสักคน”
จากบทเพลงข้างต้น คำว่า”เธอมีฉัน แต่ว่าฉันมีใคร”และคำว่า”เธอยังมีฉัน แต่ไม่รู้ทำไม ชีวิตฉันเหมือนไม่มีใครสักคน” คือการใช้คำถาเชิงวาทศิลป์