"กิจกรรมบำบัด"
ชื่อๆนี้ปัจจุบันในไทยอาจยังไม่เป็นที่รู้จักคุ้นชินมากนัก แต่ทราบหรือไม่ว่าวิชาชีพกิจกรรมบำบัดนั้นได้ถือกำเหนิดขึ้นอยู่บนโลกใบนี้ของเรามาเกือบ 100 ปีแล้ว จากทางฝั่งตะวันตก
ซึ่งความหมายของ กิจกรรมบำบัดนั้น ดิฉันขออธิบายให้ฟังอย่างเข้าใจง่ายๆว่า คือคนๆหนึ่งที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้ที่มีความยากลำบากในการทำ 'กิจกรรมการดำเนินชีวิต' (กิจกรรมการดำเนินชีวิต? คืออะไร? มีมากมายหลายสิ่งเลยละค่ะท่านผู้อ่าน ยกตัวอย่างเช่นการทำกิจวัตรประจำวัน การเรียน การทำงาน การทำกิจกรรมยามว่าง การเข้าสังคม และการนอนหลับพักผ่อน) เพื่อเป้าหมายสูงสุดที่จะให้เขาเหล่านั้นสามารถทำกิจกรรมต่างๆได้ตามความสามารถสูงสุดของตัวพวกเขาเองในสภาพแวดล้อมหรือบริบทบทบาทของแต่ละบุคคล นำไปสู่การที่มีความพึงพอใจในการใช้ชีวิต คุณภาพชีวิตที่ดี และ สุขภาวะที่ดี
ดิฉันขอแอบเล่าให้ฟังว่า เมื่อหลายวันก่อน ดิฉันและเพื่อนๆ นักศึกษากิจกรรมบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มีโอกาสในการจัดการโต้วาทีเพื่อการแลกเปลี่ยนความคิดนำไปสู่การพัฒนาองค์ความรู้ในขอบเขตของวิชาชีพกิจกรรมบำบัดขึ้น โดยมีหัวข้อในการอภิปรายด้วยกันทั้งหมด 2 หัวข้อ นั่นก็คือ
.
.
มาเริ่มที่หัวข้อแรกกันเลยค่ะ
หลังจากที่ดิฉันได้ฟังการโต้วาทีเรื่อง การเรียนแบบสมัยใหม่, การเรียนในรูปแบบออนไลน์ VS การเรียนแบบนั่งเรียนปกติในห้องเรียน จบดิฉันก็พบว่าหัวข้อนี้เป็นประโยชน์มาเลยทีเดียวสำหรับนักกิจกรรมบำบัดในการช่วยส่งเสริมหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของคนในช่วง วัยเด็ก - วัยรุ่นในเรื่องของ "การเรียน(Education)" และก็พบว่าในการเรียนทั้งสองรูปแบบนั้นก็มีข้อดีและข้อด้อยที่แตกต่างกัน
แต่อย่างไรก็ดี การเรียนทั้งสองแบบนี้จะดีหรือไม่ ขึ้นกับหลากหลายปัจจัย เช่นรูปแบบการใช้ชีวิต, ความถนัด, ประสบการณ์, บริบทหรือระบบการจัดการของสถานศึกษา ,มุมมองความคิดของแต่ละบุคคล รวมไปถึงความสามารถของแต่ละบุคคล ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยที่มีชื่อว่า Occupational transformation: Parental influence and social cognition of young adults with autism ที่ได้ให้ความสำคัญถึงการช่วยเหลือของคุณครูและเพื่อนๆในห้องเรียน ที่ช่วยส่งเสริมทักษะการเข้าสังคมและการปฏิสัมพันธ์ต่อผู้อื่นในเด็กออทิสติกพัฒนาได้ดีมากขึ้น
ในหัวข้อที่สอง
การให้บริการบำบัดฟื้นฟูทางกิจกรรมบำบัดภายในโรงพยาบาล VS การให้บริการ บำบัดฟื้นฟู ทางกิจกรรมบำบัดภายในชุมชน เช่นเดียวกันกับหัวข้ออภิปรายก่อนหน้า การให้บริการบำบัดฟื้นฟูทางกิจกรรมบำบัดทั้งที่โรงพยาบาลและทั้งในชุมชน ต่างก็ช่วยส่งเสริมความสามารถด้านการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิต เพื่อนำไปสู่การมีสุขภาวะได้ทั้งสิ้น
จะเห็นได้ว่าการดูแลรักษา บำบัดฟื้นฟูทั้งแบบภายในโรงพยาบาลและภายในชุมชนก็สามารถนำมาประกอบกันเพื่อไปสู่การมีสุขภาวะที่ดีของผู้รับบริการได้อย่างดียิ่งขึ้น ดังงานวิจัยที่มีชื่อว่า Occupational identity, occupational competence and occupational settings (environment): Influences on return to work in men living with HIV/AIDS ที่ได้กล่าวถึงการนำกิจกรรมบำบัดมาช่วยเหลือผู้ป่วย โรคเอดส์หรือผู้ที่ติดเชื้อHIV ให้ผู้ป่วยได้รับรู้ในบทบาทของตนเองทั้งในอดีตและปัจจุบัน และเข้าใจตนเอง นอกจากนี้ยังมีส่งเสริมความสามารถของผู้ป่วยในหลายๆด้าน อาทิเช่น การส่งเสริมการทำงานในงานที่ผู้ป่วยเคยทำให้ดีขึ้น หรือแม้กระทั้งพ้ฒนาทักษะการทำงานใหม่ๆ บวกกับการจัดสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่การสามารถกลับไปทำงานได้อย่างเต็มที่เหมือนคนปกติทั่วไป ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
กล่าวโดยสรุป จากหัวข้อเรื่องที่ว่ากิจกรรมบำบัดจะขับเคลื่อนสุขภาวะคนไทยทั้งในและนอกโรงพยาบาลได้อย่างไร?
คำว่า "สุขภาวะ" (Well-Being) หมายถึงการมีสุขภาพดี มีความรู้สึกเป็นสุข ความสมดุล ความเป็นองค์รวมของ 4 มิติ คือ กาย จิต สังคม ปัญญาหรือจิตวิญญาณ ที่บูรณาการอยู่ในการพัฒนามนุษย์และสังคม เพื่อสร้าง “ความอยู่เย็นเป็นสุข” (ดวงกมล ศักดิ์เลิศสกุล, 2549 อ้างถึงใน กองบรรณาธิการใกล้หมอ, 2547)
ซึ่ง"กิจกรรมบำบัด" นี้จะช่วยในการบำบัดฟื้นฟูรักษาผู้ป่วยให้สามารถทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตได้ให้มากที่สุดตามความสามารถ รวมถึงทำการส่งเสริมความสามารถให้สามารถทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตได้อย่างดียิ่งขึ้น โดยเน้นไปที่ความต้องการของผู้รับบริการเป็นศูนย์กลางซึ่งเมื่อคนเราสามารถทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตได้ดี มีสุขภาพที่ดีไม่ว่าจะในสถานที่โรงพยาบาลหรือในชุมชนหรือบ้านตนเองหรือที่ใดก็ตาม ก็จะทำให้ชีวิตเกิดความสมดุล และเป็นสุข หรือเรียกว่าเกิดสุขภาวะที่ดี well-being ตามความหมายที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนัั่นเองค่ะ
ไม่มีความเห็น