วันนี้ผมค่อนข้างประหลาดใจกับพฤติกรรมเจ้าอ้วนกับแตงโม สุนัขตัวโปรดที่ขุดดินรอบบ้านจอมเลอะไปหมด ช่วงนี้ไม่รู้ทำไมอ้วนกับแตงโมเกเรมากชอบขุดดินทุกวัน เตือนยังไงก็ไม่ฟัง สงสัยอาจจะเป็นเพราะช่วงนี้เจ้าสองตัวนี้ค่อนข้างเครียดเพราะผมไม่ค่อยได้พาออกไปเดินเล่นและใกล้ช่วงฤดูผสมพันธุ์ พูดถึงเรื่องพฤติกรรมสุนัขก็เป็น km แบบ tacit knowledge อย่างหนึ่งนะครับ บางทีอธิบายตรงๆแบบวิชาการให้คนอื่นเข้าใจยาก ว่าทำไมถึงมีพฤติกรรมแบบนี้ แต่ถ้าให้เล่าเรื่องสุนัขของเราอย่างนี้ง่ายกว่าเยอะเลยนะครับ
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นล่ะครับบางครั้งเรามีองค์ความรู้อยู่มากมายทั้ง tacit knowledge , Explicit knowledge แต่การจะถ่ายทอดให้คนอื่นฟังนะยาก ต้องมานั่งคิดว่าจะพูดยังไง จะพูดถูกต้องไหม จะต้องคิด ต้องจัดลำดับเนื้อหาอย่างไรให้คนอื่นเข้าใจ โดยเฉพาะจะอธิบาย tacit knowledge ยิ่งยากใหญ่เพราะเป็นความรู้เฉพาะบุคคล เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคล เป็นทักษะเฉพาะของแต่ละคนยิ่งอธิบายยากเข้าไปอีก กลับกันถ้าเราลองเปลี่ยนวิธีการจากการต้องนั่งอธิบายมาเป็นการเล่าเรื่อง (Storytelling) แทนจะง่ายกว่ามาก เพราะเหมือนเป็นการพูดคุยกันปกติ ไม่ต้องมีการเตรียมเนื้อหา ไม่ต้องจัดลำดับความคิด ไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะเข้าใจหรือไม่ เพราะความรู้เหล่านี้มีในตัวเราอยู่แล้ว เหมือนมานั่งเล่าเรื่อง เล่าสิ่งที่เรารู้ให้คนอื่นฟัง ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าการนำ Storytelling มาใช้กับการจัดการความรู้เป็นสิ่งที่ดีมากเพราะทำให้ผู้ถ่ายทอดกล้าที่จะพูด กล้าจะเล่า ไม่ต้องกังวลกับวิธีการอธิบายว่าคนอื่นจะเข้าใจหรือไม่ ไม่ต้องจัดเตรียมเนื้อหา ไม่ต้องมาจัดลำดับความคิด เนื้อหา และการใช้ stroytelling ยังทำให้ผู้เล่ากล้าแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกนึกคิดให้คนอื่นทราบด้วย ซึ่งความจริงแล้วผมว่าตอนนี้ทุกคนก็ใช้ storytelling อยู่แต่บางทีไม่รู้ว่าเรากำลังใช้อยู่ต่างหาก