ตัวดี ก็ดีแล้ว


ตัวดี ก็ดีแล้ว


เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา

จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่

เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู

ส่วนที่ชั่ว อย่างไปรู้ ของเขาเลย

จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว

อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย

เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเอย

ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง

ท่านพุทธทาสภิกขุ


หลายๆท่านน่าจะคุ้นเคยกับบทกลอนข้างต้นของท่านพุทธทาสมาบ้าง ที่ยกมาวันนี้เนื่องจากเห็นว่าคำสอนนี้มีคุณค่า เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาจิตใจ อยากพัฒนาตน อยากปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้า หรือแม้แต่เป็นประโยชน์ต่อปุถุชน โยมหรือคนทั่วไป เราท่านผู้ที่อยู่ในสังคม ผู้ที่ไม่ได้มุ่งเน้นจะปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุดแห่งความสุขที่เที่ยงแท้ก็ตาม เพราะการมุ่งที่จะมองหาแต่ความผิดของคนอื่นนั้น ใจตนเองก็จะเต็มไปด้วยความรุ่มร้อนใจ ไม่เป็นสุข

หลายๆท่านก็เห็นด้วยทั้งแนวคิดและได้การกระทำตนตามคำสอนด้วย โดยไม่เป็นคนที่เพ่งโทษคนอื่น หากแต่มุ่งปรับปรุงจิตใจและการกระทำของตนเท่านั้น ก็ได้ประโยชน์ครบถ้วน บางคนก็อาจมีการนำกลอนนี้ไปพูด ไปเขียนใหม่ในหลายๆที่ หลายโอกาศ แต่ดูว่าการกระทำกลับไม่เป็นไปตามคำที่พูด ตามคำของนักปราชที่ตนนำมากล่าวอ้างนั้นเลย คนกลุ่มนี้มักนำคำคม คติธรรม อื่นๆมาใช้กล่าวอ้างอยู่เรื่อยๆ เขาเหล่านี้ก็จะดูจะดูดีต่อสายตาของผู้ที่อาจจะไม่ได้รู้จักตัวตนแท้จริงเขานัก เพราะไม่ได้สนิทสนมลึกซึ้งกันนัก หลายท่านอาจนึกถึงนักการเมืองบ้าง นักการตลาด นักขายบ้าง ผู้ที่ต้องใช้การพูดในการโน้มน้าวผู้คนให้คล้อยตาม เพื่อผลประโยชน์ของผู้พูดในท้ายที่สุด เขาเหล่านี้ส่วนหนึ่งอาจเป็นคนดีแต่พูด เพ่งโทษคนอื่นเก่ง โจมตีฝ่ายตรงข้ามทีไรก็จะมีหลักฐาน หลักการมากล่าวอ้างดูสมจริงมีเหตุผลเสมอ แต่พฤติกรรมตนก็ไม่ได้สอดคล้องกับวลีสวยงามที่ตนเองชอบกล่าวเลย

มีครูท่านหนึ่งก็ดูจะเข้าข่ายผู้ที่พูดจาด้วยคำนักปราช ด้วยคำพระธรรม ตำพระสงฆ์ต่างๆอยู่เป็นนิจ ครูท่านนี้จะชอบอ่านประวัติพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอยู่เสมอ จะรู้จักประวัติของครูบาอาจารย์ หลวงปู่หลวงตาต่างๆค่อนข้างดี ชอบสวดมนต์ เวลาสวดจะสวด้วยเสียงอันดัง ข้อความหรือคำบาลีต่างๆจะชอบออกเสียงให้ถูกต้อง ซึ่งทั้งหมดที่เล่ามาก็ดูเหมือนว่าจะดีงาม เป็นกิจวัตรที่น่ายกย่อง เนื่องจากการศึกษาประวัติครูอาจารย์ ก็น่าจะสามารถนำประวัติ แนวปฎิบัติ และคำสอนของท่านเหล่านั้นมาประพฤติ ปฏิบัติตาม เพื่อความเจริญในธรรม หรืออย่างน้อยมาปรับใช้กับตนเพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ให้สมกับความที่ได้หมั่นศึกษามาอย่างมากมาย ได้มุ่งมั่นหาหนังสือธรรมะ ประวัติครูบาอาจารย์ดีๆ อยู่เสมอ นำมามาอ่านเป็นประจำ และเป็นผู้ชอบสวดมนต์เสียงดัง ฟังชัด ถูกต้อง แต่ประเด็นคือหากทำการสวดมนต์กับผู้อื่นด้วย แล้วผู้อื่นไม่คล่องในคำบาลี แล้วอาจออกเสียงไม่ถูกต้องในบางคำนัก ครูคนนี้ก็ดูจะไม่ยอมปล่อยผ่าน ไม่ปล่อยวาง รวมทั้งหากเป็นการสนทนากล่าวอ้างถึงประวัติครูอาจารย์ จะต้องมีการบ่นหรือพูดในทำนองว่ากล่าวคนอื่นว่า ไม่ได้นะคำนี้ต้องออกเสียงอย่างนี้ อย่างนี้ หลวงปู่องค์นี้บวชตั้งแต่อายุเท่านี้ บ้านเดิมอยู่ที่นี่ต่างหากนะ ซึ่งหากครูจะทำด้วยความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ก็น่าจะถือว่าได้ทำตัวเป็นกัลยาณมิตรแท้ ด้วยการแนะนำอธิบายให้ผู้รับฟังได้ความรู้ ได้คติธรรม แต่ทุกครั้งน้ำเสียงครูจะเต็มไปด้วยความยกตนข่มท่าน จะชอบค้นรื้อหนังสือที่ตนมีอยู่เยอะนั้นมาอ้าง ว่าตนมีหนังสือดีหายากนะ คนอื่นๆไม่มีใครมี เปิดหน้านั้นหน้านี้ชี้ว่าเห็นมั้ยๆ บ้าง และหากไปวัดได้ยินว่ามีคนทำบุญทำทานที่โน่นบ้าง ที่นี่โอกาสอื่นที่ตนไม่ได้ไปบ้าง ในระหว่าสนทนากันในวัด ครูจะพูดลับหลังคนๆนั้นในเกือบทุกรายในแง่ร้ายว่า คนอื่นนั้นทำเอาหน้าบ้าง ทำแบบนั้นไม่ได้กุศลบ้าง แทบจะไม่ได้ยินการกล่าวในมางบวก การกล่าวอนุโมทนาเมื่อได้ยินข่าวการทำบุญของคนอื่นเลย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ครูได้ยินว่ามีเพื่อนบ้านคนหนึ่งนินทาตนเอง โดยที่ไม่ได้ยินกับหูตนเอง แต่ได้ยินมาจากเพื่อนบ้านอีกคนหนึงด้วยซ้ำ ครูถึงกับหยิบโทรศัพท์โทรไปหาผู้ที่ตนได้ยินมาว่าคนนั้นได้นินทาตนเองเอาไว้ แล้วต่อว่าอย่างหนัก หลังจากนั้นครูก็ได้กลับมาบอกกล่าวให้ผู้ที่เล่าให้ตนฟัง ถึงเรื่องราวว่าตนเองได้จัดการด่าทอผู้ที่นินทาตนเองไปแล้วเรียบร้อย สำทับด้วยอาการสะใจว่า ใครที่มานินทาตนคนนั้นไม่กล้าโต้ตอบ กลัวตนเองมาก และคงไม่กล้าทำแบบนี้กับตนอีก อีกครั้งครูคนนี้ได้เล่าให้เพื่อนฟังว่า วันหนึ่งมีนักเรียนตนเองในห้องซนมากเถียงคำไม่ตกฟาก ตนเองเลยทำโทษด้วยการตีอย่างแรง และทำการกล่าวสำทับต่ออีกเช่นกันว่า เด็กมันคงจะไม่กล้าหือกับตนอีก ให้มันรู้สำนึกเสียบ้าง

อีกเหตุการณ์คือครูคนนั้นมีเรื่องกับเพื่อนบ้านที่มีที่ดินติดกัน เนื่องจากเพื่อนบ้านได้ทำการสร้างรั้วฝั่งที่มีพื้นที่ติดกันนั้นใหม่ และครูก็เที่ยวพูดในทำนองว่าเพื่อนบ้านคนนั้นทำเสารั้วกินเข้ามาในที่ตนเอง แล้วก็กล่าวย้อนไปในอดีตอีกว่าเพื่อนบ้านตนเองคนนั้นเป็นคนที่ใช้ไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้ อิจฉาตนเองเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้าง จึงต้องการแกล้งตนเอง และทำการเอาเปรียบเพื่อนครูก็ได้แนะนำว่า หากเสารั้วมันดูจะล้ำเข้ามาแค่ไม่กี่นิ้ว การที่จะทำการฟ้องร้องเขา (ครูบอกเพื่อนบ้านว่าจะเอาเรื่องถึงขั้นฟ้องเพื่อนบ้าน) มันจะคุ้มหรือไม่ จะเป็นการสร้างศรัตรูโดยไม่จำเป็นหรือไม่ ถ้าเพื่อนบ้านคนนั้นเป็นคนพาลลจริง เป็นนักเลงอย่างครูเที่ยวอ้าง มันจะคุ้มเหรอที่จะมีเรื่องกับคนพาล ตอนแรกครูก็ดูจะโอนอ่อนในทำนองที่จะทำใจ ปล่อยวางถึงขั้นกับพูดว่า อืม สมบัตินอกกายนะ ที่ดินไม่กี่เซนต์ ไม่กี่นิ้วไม่ได้ทำให้ตนเองจนลงหรอก แต่ในที่สุดครูคนนั้นก็ฟ้องเพื่อนบ้านในกรณีดังกล่าวจนได้ ทั้งที่ระหว่างนั้นครูเพิ่งสูญเสียคู่ชีวิตไปเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ เป็นช่วงที่ไปทำบุญวัดนั้น วัดนี้เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คู่ชีวิตอยู่ เป็นช่วงเศร้าโศก น่าจะเป็นผู้เห็นสัจจะธรรมและปล่อยวางได้ดีกว่าผู้ที่มีชีวิตดำเนินอย่างปกติ แต่กลับเป็นผู้ที่ไม่ยอมใคร ใครมาเอาเปรียบไม่ได้แม้แต่เล็กน้อย จะต้องทำการต่อสู้กันให้ถึงที่สุด ใครหน้าไหนก็ไม่กลัวในลักษณะนี้ ซึ่งมันก็ดูจะแปลกแยก กับการที่เป็นคนไปวัด เป็นคนอ่านหนังสือธรรมะ สวดมนต์ และปฏิบัติธรรม จึงมาถึงคำถามที่ว่าพวกเราเหล่าพุทธบริษัทที่ต่างก็มีโอกาสไปทำบุญที่วัดตามโอกาส เวลา และศรัทธา เพื่อฟังธรรมของพระพุทธเจ้ากันนั้นพุทธเจ้า สร้างบุญกุศล จะทำตัวเหมือนครูคนนี้หรือไม่ หรือในขณะที่เรานินทาเหล่านักการเมืองว่ามือถือสากปากถือศีลนั้น เราเองได้พิจารณาในมุมกลับเข้ามาหาตนเอง เพื่อปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นบ้างหรือไม่ และทุกๆคนจะมีทั้งข้อดี และข้อเสียตามที่ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ หากจะดูก็ให้ดูคุณสมบัติ ที่ดีๆของเขา เพื่อนำสิ่งดีๆเหล่านั้นมาเป็นแนวทางเพื่อปรับปรุงตนเองบ้าง หรือหากจะมองข้อเสียก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ หากจะมองในแง่ใช้เป็นบทเรียนสอนตน เพื่อไม่ให้ตนเองเป็นแบบนั้น แต่ไม่ใช่จะเป็นการมองเพื่อเพ่งโทษ หรือเพื่อเปรียบเทียบว่าตนดีกว่า เขาแย่กว่าอะไรทำนองนั้น เราไปวัดเพื่อให้ถึงในพระธรรมคำสั่งสอนกันไม่ใช่หรือ พวกเราไปวัด ก็ให้ถึงวัดเถิด ใครจะพูดดี แต่ทำไม่ดี เขาก็จะรับผลไม่ดีนั้นๆไปเอง ไม่ต้องไปคอยดูแล้วสาบแช่งเขา เหมือนคนใน Social Media ในไทยเราทุกวันนี้ ที่พอเห็นคนในสังคมทำไม่ดีก็จะนำมาประจานเพื่อให้ตนเองดูดีขึ้นมา ไม่ได้นำมา Share ทำนองให้เป็นอุทาหรณ์ หรือเป็นอนุสติเตือนใจกัน ส่วนคนอ่านก็ร่วมกันก่นด่า สาบแช่ง ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ซึ่งไม่ใช่วิสัยชาวพุทธเลย เอาเวลาเหล่านั้น มาพัฒนาตนเองดีกว่า มีหลวงพ่อท่านหนึ่งท่านเคยกล่าวไว้ว่า "เรายอมที่จะให้คนอื่นเอาเปรียบ ดีกว่าจะไปเอาเปรียบคนอื่น" เรามาไปวัด ให้ถึงวัดกัน

หมายเลขบันทึก: 613000เขียนเมื่อ 28 สิงหาคม 2016 15:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 พฤษภาคม 2017 15:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท