จีน ช่วงชิงตำแหน่งมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก โดยเบียดผลัดกันขึ้นครองอันดับ “หนึ่ง” กับสหรัฐอเมริกามาอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มเข้าสู่ “ขาลง” เศรษฐกิจในสหรัฐฯ เริ่มชะลอตัวลง จนรัฐบาลต้องดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือมาตรการ QE : Quantitative Easing ขณะที่เศรษฐกิจจีนซึ่งมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP : gross domestic product) มูลค่าสูงเป็น “อันดับ 1” ของโลก จากการบริโภคของประชากรจำนวนกว่า 1,400 ล้านคน เริ่มส่อเค้า “ชะลอตัว” อย่างชัดเจนตั้งแต่กลางปี 2558 ที่ผ่านมา จนรัฐบาลจีนต้องดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลักๆ ประกอบไปด้วย การลงทุนสร้างเส้นทางรถไฟ โดยจะเพิ่มจำนวนเส้นทางที่จะก่อสร้างในปี 2588 ขึ้น 18% จากที่ดำเนินการในปีก่อนหน้า พร้อมๆ กับประกาศแผนการระดมเงินทุนสำหรับการก่อสร้างเส้นทางรถไฟโดยการออกพันธบัตรมูลค่า 1.5 แสนล้านหยวน นอกจากนี้ ยังจะจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาระบบเส้นทางรถไฟ ซึ่งจะระดมเงินอีกปีละประมาณ 2-3 แสนล้านหยวน |
|||
ด้านนโยบายการเงิน จีนพยายามพุ่งเป้าไป “เฉพาะจุด” เช่น 1.การลดภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนของรถยนต์ขนาดเล็กมาที่ 5% 2.การลดวงเงินดาวน์อสังหาริมทรัพย์ลงมาที่ 25% สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกในรอบ 5 ปี เป็นผลบวกต่อหุ้นจีน และหุ้นทั่วโลกให้ปรับขึ้นมาจากระดับต่ำที่สุดในรอบ 2 ปีได้ แม้ว่าปริมาณการซื้อขายหุ้นจะเบาบาง แต่มาตรการที่เพิ่มเติมกว่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็น ถ้ารัฐบาลจีนต้องการที่จะฟื้นความเชื่อมั่นของตลาดให้กลับมาอีกครั้ง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่มีวงเงินมากกว่านี้เป็นสิ่งจำเป็น แม้ว่าตั้งแต่เดือนธันวาคม 2558 ธนาคารกลางจีน (PBOC) จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง 5 ครั้ง และลดอัตราเงินสดสำรองส่วนเกิน (RRR) รวมถึงประกาศปรับลดค่าเงินหยวนลงราว 5% สร้างความปั่นป่วนให้แก่ตลาดทั่วโลกอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่ขณะนี้ภาวะตลาดการเงินจีนยังคงอยู่ในระดับที่ตึงตัว และกำไรอุตสาหกรรมจีนยังคงหดตัว ผลสำรวจของภาคเอกชนจัดทำโดยบริษัทไฉซิน ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กิจกรรมภาคการผลิตของจีนเมื่อเดือนธันวาคมโดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) อยู่ที่ 48.2 ร่วงลงจาก 48.6 เมื่อเดือนก่อนหน้า (ยังต่ำกว่าที่ 50 จุด) ซึ่งเป็นการหดตัวเดือนที่ 10 ติดต่อกัน และมีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจจีนจะมีอัตราการเติบโตอ่อนแอที่สุดในรอบ 25 ปี ขณะที่ PMI ภาคบริการปรับตัวสูงขึ้นถึง 54.4 จุด สูงที่สุดในรอบ 16 เดือน จุดนี้ ทีมเศรษฐกิจผู้จัดการ 360 อยากให้ทุกท่านตระหนักว่า “เทรนด์” ของโลกเปลี่ยนไป โลกไม่สามารถพึ่งพา “การผลิตสินค้า การส่งออกเป็นหลักได้อีกต่อไป” แต่ประชากรโลกต้องการ “สินค้าด้านการบริการที่ดี มีคุณภาพ” ดังนั้น หากท่านปรับตัว จับหลักให้ถูก แล้วเดินหน้าท่านก็จะผ่านพ้นวิกฤตก้าวเข้าสู่โอกาสใหม่ของชีวิตได้ไม่ยาก |
|||
ทันทีที่จีนประกาศดัชนี PMI กดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกปรับตัวลดลงทันที เริ่มจากดาวโจนส์ (4 ธ.ค.) ลดลง 1.58%, เอสแอนด์พี ลดลง 1.53%, แนสแดค ลดลง 2.08%, นิกเกอิ ปิดตลาดติดลบไป 3.06%, ฮั่งเสง ล่าสุดร่วง 2.8% และที่หนักที่สุด คือ เซี่ยงไฮ้ ลงถึง 6.85% จนตลาดหุ้นจีนต้องใช้ “เซอร์กิต เบรกเกอร์” (Circuit Breaker) ถึง 2 ครั้ง เพื่อลดความร้อนแรงของแรงขายลงชั่วคราว ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปิดปรับตัวลดลง 1.91% ขณะที่รัฐบาลจีนสร้าง “Surprise” โดยธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศปรับลดอัตราอ้างอิงค่าเงินหยวนลงไปอยู่ที่ 6.5032 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่ 24 พ.ค.2011 สร้างความกังวลว่าจีนจะอ่อนค่าเงินหยวนมากขึ้นกว่าปัจจุบัน |
|||
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ระบุ จีนลดอัตราอ้างอิงเงินหยวนไปอยู่ที่ 6.5032 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐไม่กระทบค่าเงินบาท เพราะไทยยังได้อานิสงส์ราคาน้ำมันต่ำ ทำให้เงินบาทมีเสถียรภาพ ทั้งนี้ จีนน่าจะลดค่าเงินหยวนเพื่อประคองเศรษฐกิจมากกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างการเรียนรู้ให้ตลาด โดยเงินหยวนอ่อนค่ามีผลโดยตรงต่ออาเซียน เพราะจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ แต่ละประเทศต้องจัดการให้ค่าเงินอ่อนตาม เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน สำหรับเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนกว่าปีก่อน โดยต้องจับตาสหรัฐฯ อาจขึ้นดอกเบี้ยไม่ต่อเนื่อง และสงครามค่าเงินรุนแรงขึ้น มีโอกาสที่เงินบาทอ่อนไปถึง 40 บาท ด้านเงินบาทวานนี้ (5 ม.ค.) ปิดที่ 36.126 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจาก 36.162 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเปิดตลาด การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนยังส่งผลกระทบอีกกว่า 50 ประเทศ ผู้ส่งออกวัตถุดิบเพื่อป้อนภาคการผลิต เพราะ ณ ปัจจุบัน การนำเข้าสินค้าในจีนขยายตัวเพียง 0.7% เท่านั้น ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มโภคภัณฑ์ เช่น พลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ และสิ่งทอ ที่ต่างมีอัตรานำเข้าลดลง อีโคโนมิก ไทมส์ ระบุว่า ประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนมากที่สุด คงหนีไม่พ้นเยอรมนี และสหภาพยุโรปที่การส่งออกกว่า 50% ขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งมีจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3 เริ่มเห็นผลกระทบแล้ว โดยในช่วงปีที่ผ่านมา การค้าขายระหว่างสหรัฐฯ และจีนขยายตัวเพียง 1.9% เท่านั้น น้อยกว่าที่ประเมินไว้ว่าอยู่ที่ราว 9.9% โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ สิ่งทอ และเหมืองแร่ เซาท์ไชน่ามอร์นิ่ง โพสต์ เผยแพร่แนะนำรัฐบาลจีนของสถาบันคลังสมองในสังกัดฝ่ายวางนโยบายสูงสุดของจีน (NDRC) ระหว่างการประชุมหารือกันที่กรุงปักกิ่งเมื่อกลางเดือน ธ.ค. เพื่อหาทางหยุดยั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ถลำลึกทุกที โดยเรียกร้องให้รัฐบาลจีนผ่อนคลายความเข้มงวดในการใช้จ่าย เพื่อต้านแรงกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2559 โดยขยายการใช้จ่ายด้านการคลัง คงสัดส่วนดุลการคลังต่อ GDP ในระดับสูง และออกพันธบัตรเพิ่มเพื่อระดมเงินสำหรับการดำเนินโครงการใหญ่ๆ ในปีนี้ |
|||
ขณะที่ธนาคารกลางจีนควรปรับลดสัดส่วนการกันสำรองเงินสดของธนาคารพาณิชย์ และปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนทำให้เงินหยวนอ่อนค่าลงปานกลาง เพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก นอกจากนั้น รัฐบาลควรลดขั้นตอนที่ทำให้การเดินเรื่องล่าช้าเพื่อให้ภาคธุรกิจมีเวลามาทุ่มเทในการพัฒนาคิดค้นนวัตกรรมมากขึ้น ที่มาบทความ : http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx... |
ไม่มีความเห็น