การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนลากยาว
ส่งผลให้การฟื้นตัวของการส่งออกและการบริโภคในประเทศของไทยล่าช้าออกไป
และเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ
3 รวมถึงกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะต่อไป
หลังจากที่มาร์กิตและไฉซินประกาศดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตเบื้องต้นของจีน
ลดลงแตะ 47.0 ในเดือนกันยายน ต่ำสุดในรอบ 78 เดือน ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปิดในแดนลบ
เนื่องจากมีความกังวลว่าเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าร้อยละ 7 ในปีนี้ ชะลอลงเมื่อเทียบกับทศวรรษก่อนที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงถึงร้อยละ 10
และจากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศพบว่า
เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอลงเหลือร้อยละ 6 ในอีก 2 ปีข้างหน้า แน่นอนว่าภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบเปิด
การชะลอลงของจีนย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ
รวมถึงไทยที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกับจีนและมีความสัมพันธ์กันทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด
อุปสงค์ในประเทศจีนที่ชะลอลง
นอกจากจะทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศลดลงแล้ว
ยังมีส่วนทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกลดลงด้วย
เนื่องจากจีนเป็นผู้บริโภคสินค้าโภคภัณฑ์อันดับต้นๆของโลก ไม่ว่าจะเป็นอลูมินัม
เหล็ก ทองแดง ตะกั่ว และสินค้าเกษตรอย่างยางพารา
เห็นได้ชัดว่าเศรษฐกิจจีนที่ชะลอลงนั้น
กระทบมายังเศรษฐกิจไทยหลากหลายช่องทาง
และเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่อาจขยายตัวต่ำกว่า นอกจากนี้
ผลกระทบจากการชะลอลงของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปในช่วง 2 - 3 ปีนี้อย่างแน่นอน
ในภาวะที่ภาคการส่งออกและการบริโภคภาคเอกชนถูกกดดันจากปัจจัยภายนอก
หากเครื่องยนต์การลงทุนภาครัฐและการท่องเที่ยวที่ประคับประคองเศรษฐกิจไทยหมดกำลังลง
จะทำการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปจะต้องเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น
ที่มา http://www.efinancethai.com/LastestNews/index.aspx?ref=A&id=LNWy/anCm7g=&year=2015&month=9&lang=T
ในส่วนของภาครัฐได้เห็นความสำคัญของการเร่งผลักดันปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมเพื่อเสริมสร้าง
ความเข้มแข็งและยกระดับความสามารถการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ที่สำคัญได้แก่
การลงทุน โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่การสนับสนุนการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม
การส่งเสริมธุรกิจที่ทำวิจัยพัฒนา และ การปรับโครงสร้างเชิงสถาบันเพื่อเพิ่มความโปร่งใส
(Transparency)
เช่น การปฏิรูปเกณฑ์ส่งเสริมการลงทุน ของ BOI หรือ
การปฏิรูปเพื่อปราบปรามคอร์รัปชั่นโดยเน้นกระบวนการตรวจสอบที่รัดกุมขึ้น ซึ่งในระยะสั้น
อาจจะมีปัญหาความล่าช้าในบางโครงการบ้าง แต่ในระยะยาวจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ
ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
โครงสร้างการค้าไทย-จีน ยังคงเอื้อ ประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย
สินค้าส่งออกของไทยไปจีนประมาณครึ่งหนึ่งเป็นสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นสินค้าจ าเป็น และจีนไม่สามารถผลิตเองได้เพียงพอกับความต้องการ
การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจึงไม่น่าส่งผลต่อการ ส่งออกในส่วนนี้สินค้าส่งออกของไทยไปจีนอีกกึ่งหนึ่งเป็นสินค้าที่จีนนำเข้าไปผลิตเพื่อส่งออก
(re-export) ซึ่ง น่าจะได้ผลดีจากการปรับลดค่าเงินหยวน เมื่อพิจารณาด้านการแข่งขันทางการค้า
จีนถือเป็นคู่ค้าของไทยมากกว่าคู่แข่ง ขณะที่ตลาดส่งออก ของทั้งสองประเทศก็ไม่ทับซ้อนกันมาก
จีนเน้นส่งออกตลาด G3 ส่วนไทยพึ่งพาการส่งออกไปตลาดอาเซียน และจีน
สัดส่วนการส่งออกไปตลาดที่แข่งขันกันมีเพียงประมาณ 3.3% ของการส่งออกรวมของไทยเท่านั้น
นอกจากนี้ค่าเงินหยวนที่อ่อนลงเอื้อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถนำเข้าเครื่องจักรจากจีนได้ในราคาที่ถูกลง
เช่นเดียวกับวัตถุดิบบางประเภทซึ่งไทยผลิตเองไม่ได้ทั้งหมด เช่น เหล็กและเคมีภัณฑ์
ทางด้านการท่องเที่ยว แม้จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบบ้าง
แต่ประสบการณ์ที่ผ่าน มาชี้ว่าหากสถานการณ์สามารถควบคุมได้การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ภายใน
2-3 เดือน ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศ ไทยยังถือว่าเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ
ของนักท่องเที่ยวจีน และจ านวนนักท่องเที่ยวจากจีนยังมี ศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก
ผลของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนที่จะส่งผ่านมายังไทยในช่องทางนี้จึงไม่ น่าจะมีมากนัก
ที่มา https://www.bot.or.th/Thai/PressandSpeeches/Speeches/Gov/SpeechGov_11Sep2015.pdf
ไม่มีความเห็น