สังคมผู้สูงอายุ คือสังคมของประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป โดยแบ่งจะแบ่งสังคมผู้สูงอายุออกเป็น 3 ระดับคือ
1.ระดับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging society) หมายถึง มีประชากรในประเทศที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ หรือประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 7 ของประชากรทั้งประเทศซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าประะชากรในประเทศนั้นกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
2. ระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society) หมายถึง มีประชากรในประเทศที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมากว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศหรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 14 ของประชากรทั้งประเทศซึ่งแสดงว่าประเทศนั้นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์
3.ระดับสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ (Super-aged society) หมายถึง มีประชากรในประเทศที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า ร้อยละ20 ของประชากรทั้งประเทศ แสดงว่าประเทศนั้นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่
ซึ่งแต่ละประเทศจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมของแต่ละประเทศ เช่น ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาทางด้านการแพทย์ การโภชนาอาหาร ส่วนในประเทศไทยนั้น สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้สรุปไว้ว่าไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ตั้งแต่ปี 2005 โดยมีประชากรผู้สูงอายุ ร้อยละ10.4 ของประชากรทั้งประเทศและคาดว่าจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ในช่วงปี 2024-2025
การเตรียมตัวของวัยรุ่น ที่จะกลายเป็นผู้สูงอายุในอนาคตซึ่งในช่วงวัยรุ่นจนถึงช่วงวัยก่อนเกษียรการดูแลสุขภาพและการเก็บออมเงินเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากในการเตรียมความพร้อม เพราะถ้าเรามีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่มีโรคภัยต่างๆมารุมเร้าจะถือเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุด เพราะไม่ต้องเสียเงินในการรักษาและยังช่วยให้เงินออมจากการทำงานมีมากขึ้นด้วย ในช่วงวัยรุ่นเรายังต้องทำงานหาเงินเพื่อใช้จ่ายต่อสิ่งที่จำเป็นและไม่จำเป็นเพื่อเพิ่มความสุขให้ชีวิตนั้น เราควรต้องคิดวิธีการวางแผนการใช้เงินให้รอบคอบ ใช้เงินอย่างประหยัดและเก็บออมไว้ใช้ในอนาคตหรือในช่าวงที่เราไม่สามารถทำงานหาเงินเองได้ โดยมีวิธีการออมเงินหลายแบบ เช่น การฝากธนาคาร การทำประกัน ลงทุนในกองทุนต่างๆ เป็นต้น ซึ่งวิธีเหล่านี้สามารถทำให้ได้เงินเพิ่มขึ้นอีกด้วย
แหล่งที่มา : http://www.stou.ac.th/stouonline/lom/data/sec/Lom1...
ไม่มีความเห็น