วันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๙
............................................
ตอนเช้าขณะขับรถไปที่วัด ข้าพเจ้านึกถึงคำว่า "ไม่มี Routine..."เป็นคำพูดของท่าน ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ใน VTR R2R จากคำพูดของท่านอาจารย์วิจารณ์ข้าพเจ้ามาคิดว่า ...ทำไมจึงไม่มี Routine ในชีวิต...เพราะตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าและออก มีแต่คำว่า การเรียนรู้...
เพราะอะไรเรื่องนี้จึงผลุดขึ้น ...
ข้าพเจ้ามาทบทวนวิถีและกิจกรรมที่ทำในแต่ละวันตื่นแต่เช้ามืด ทำอาหารไปถวายพระที่วัดซึ่งไกลออกไป ๒๐ กิโลเมตร และค่อยขับรถย้อนกลับเข้ามาในตัวเมืองเพื่อกลับเข้าที่ทำงาน ...ซึ่งเป็นอยู่เช่นนี้มา ๗-๘ ปีแล้ว...ฝังดูผิวเผิน คล้ายสิ่งที่ข้าพเจ้าปฏิบัตินั้นเป็น Routine หรือเป็นสิ่งที่ทำอยู่อย่างประจำ...
แต่เมื่อพิจารณาเข้าไปอย่างลึกซึ้งในแต่ละกิจกรรมนั้น กลับไม่ใช้ Routine เลย ...มีประเด็นรายละเอียดย่อยๆ มากมายที่ข้าพเจ้าต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้ ...แม้แต่การเตรียมวัตถุดิบในการนึ่งอาหาร เช่น ไข่ ฟักทอง เห็ด และผักต่างๆ ...ในแต่ละครั้งก็จะมีอะไรที่แตกต่างกันออกไป อุปสรรคที่เกิด ปัญหาที่ปรากฏ ข้าพเจ้าต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้ และลงมือทำแบบไม่ซ้ำรูปแบบ...สิ่งที่ดูเหมือน Routine กลับมีปรากฏการณ์ที่ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
หรือแม้แต่การขับรถไปที่วัดเองก็เช่นเดียวกัน ..ไม่เคยซ้ำและตรงเป๊ะ ...ในวิถีการปฏิบัติ
ระยะทาง รถที่วิ่งบนถนน ทิศทางดวงอาทิตย์ดวงโตในยามเช้าที่ส่องเข้าตา ร่องรอยการซ่อมถนน นกที่บินโฉบลงมาหาอะไรกินที่ถนน ทุกๆ อย่าง ทุกๆ รายละเอียดต่างเป็นสิ่งที่ทำให้การเดินทางของข้าพเจ้าในแต่ละวันไม่เคยเหมือนเดิม
หรือ...ถ้าอธิบายภายใต้กฏอนิจจัง ...ทุกอย่างไม่เที่ยงแล้ว จึงเรียกได้เต็มปากว่า "ไม่มี Routine..." เพราะไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน
ภายใต้ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่ทำให้เราปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม แต่กลับทำให้เราเกิดความตระหนักต่อตนเองที่จะทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อการดีต่อชีวิต
เมื่อได้บทสรุปกับตนเอง ...ก็ทำหน้าที่ในแต่ละจังหวะของชีวิตต่อไปตามกระแสของเวลา
ปกติวันนี้ ...เป็นวันพฤหัสบดี (รวมถึงวันจันทร์) ข้าพเจ้างดไปวัดในตอนเช้าเกือบจะหลายเดือนแล้ว เพราะต้องการที่จะรีบเข้าที่ทำงาน โดยปกติก็จะประมาณเจ็ดโมงถึงเจ็ดโมงครึ่ง ...
จนมาได้ตกผลึกกับตนเองเมื่อไม่กี่วันมานี่เองว่า ...อันที่จริงมันขึ้นอยู่กับการจัดการของข้าพเจ้าเองในการบริหารเวลาและภารกิจที่ทำ เมื่อใคร่ครวญและพิจารณาดูพบว่า อยู่ในวิสัยที่สามารถทำอาหารไปวัดได้ตามปกติตามวิถีที่ดำเนินมาได้
เช้าวันนี้...จึงเป็นเช้าที่สองของการทดลอง...ผลปรากฏว่า เป็นไปตามความคาดหมาย
กิจกรรมช่วงเช้าของการทำงานที่คลินิคจิตเวช ...ใช้เวลาทำงานกันอย่างคุ้มค่ามาก เพราะส่วนหนึ่งต้องรีบไปรับเสด็จและรับผิดชอบงาน To Be Number One เหลือข้าพเจ้าและพี่อ้อ เตรียมรับการตรวจเยี่ยมจากศูนย์ HA ปรากฏว่ามีภารกิจแทรกเข้ามาอีกคือ ทีมประเมิน 5ส มาพร้อมกันในเวลาเดียวกัน
ในความรู้สึก...สนุก เพราะสติมาเต็มกำลัง พร้อมเผชิญ ในสภาวะนี้ทำให้เราได้เรียนรู้การเคลื่อนไหวของจิตได้ดีทีเดียว
ตามดูจิตไปเรื่อยๆ ...คล้ายงูเลื้อยผ่านมาและผ่านไป (อ้างอิง...หลวงปู่ชา จากส่วนหนึ่งในบทธรรมที่ท่านเทศน์อบรม...)
ประทับใจเพื่อนร่วมงานทุกๆ คนที่มีจิตใจหนักเอาเบาสู้ และคอยเกื้อกูลช่วยเหลือกัน
และสิ่งที่พิเศษสุด...คือ การให้อภัยกันและกัน
ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงบทเพลงภาวนาท่อนหนึ่งว่า ...."เราคือใบไม้ต้นเดียวกัน..." จึงได้สเก็ตภาพบนไอแพด ส่งไปให้น้องๆ ในที่ทำงาน ...น้องๆ ถามว่าคือ ต้นอะไร ข้าพเจ้าตอบขำๆ ไปว่า "ต้นพลัม "...เพราะตอนที่นึกถึงต้นไม้มีสองบุคคลที่ระลึกถึง คือ องค์หลวงปู่ประสาร สุมโน และองค์หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ที่ทั้งสองท่านได้พูดถึงเรื่องความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ของผู้คนเป็นดั่งต้นไม้ต้นเดียวกัน ...โดยเฉพาะองค์หลวงปู่ประสาร สุมโนท่านมักสอนเสมอว่า "อย่าอิจฉากัน อย่าริษยากัน...เราเป็นพี่น้องกัน"
ตกตอนเย็น...
ได้รับโอกาสจาก อ.หมอสุธีร์ (อ.ดร.นพ.สุธีร์ รัตนมงคลกุล) สนทนาถึง...พลังของการเรียนรู้ ผ่านเทคนิค TEDtalk , KM , และข้าพเจ้าต่อยอดความคิดในตนเองต่อไปอีกว่า "คือกระบวนการเหนี่ยวนำ ...ผู้เหนี่ยวนำ..." ในที่นี้หมายถึง ...ผู้เหนี่ยวนำให้เกิดพลังแห่งการเรียนรู้ที่เต็มเปี่ยมและทรงพลัง ทำให้ผู้คนได้ดึง Tacit Knowledge ออกมา ...และกระแสแห่งการเรียนรู้ไหลวนต่อยอดทางปัญญา ...อย่างปิติและอิ่มสุข ซึ่งนัยนี้ของผู้เหนี่ยวนำ อาจจะไม่ได้ใช้เทคนิคอะไรมาก อาจไม่ได้พูดอะไรเยอะ ไม่ต้องมีทักษะมากมาย เพียงบุคคลลักษณะนี้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง พลังแห่งการเรียนรู้จะเกิดขึ้นและทรงพลังอย่างเบิกบาน ...ข้าพเจ้าเชื่อว่า ปรากฏการณ์นี้จะเกิดในบุคคลที่มีลักษณะของความเป็นผู้เหนี่ยวนำ ...ที่มีความมั่นคงทางอารมณ์ มีสภาวะจิตที่สะอาด และเบิกบาน ...สว่าง สะอาดกระจ่างใจประมาณนั้น...
ทำให้คิดต่อยอดต่อไปอีกว่า ...คุณอำนวยที่จะเติบโตด้านในอย่างลึกซึ้งไปจนถึงลักษณะของผู้เหนี่ยวนำ หรือนำพาเช่นนี้ได้ ...จะต้องเข้าใจตนเอง เข้าใจชีวิต เข้าใจธรรมชาติ ผ่านกระบวนการเรียนรู้และขัดเกลาชีวิตและจิตใจมามากพอจนพบสัจจะแห่งชีวิต "นิ่ง สงบ และเบิกบาน" ซึ่งจะเป็นพลังที่ไปจุดประกายผู้คนต่างๆ ให้เติบโตทางการเรียนรู้ทางปัญญาต่อไป
วันนี้เป็นวันที่ดีอีกหนึ่งวันสำหรับการเรียนรู้ของข้าพเจ้า
...
เหนี่ยวนำ ใช่มั้ยคะ...
ขอบพระคุณค่ะแก้ไขแล้วค่ะ ^^