ธุรกิจส่งออก สำเร็จได้ รวยเร็ว หาซื้อได้ที่ซีเอ็ดบุคส์ทุกสาขา
----------------------------------------
หลังจากที่ได้พูดถึงวิธีการดำเนินการต่างๆในแต่ละขั้น แต่ละกระบวนการในด้านการค้าระหว่างประเทศ หรือในกิจกรรมธุรกิจส่งออกมาหลากหลายหัวข้อ วันนี้จะขอนำภาพ Supply Chain ของธุรกิจนี้มาฝาก เพื่อให้ท่านได้เห็นภาพรวมในแต่ละขั้นให้ชัดเจนขึ้น ว่า Steak Holder หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งสายการบริโภคนี้มีใครบ้าง ใครอยู่อันดับไหน ทำหน้าที่อะไร เกี่ยวข้องหรือต่อสายมาจากใคร
กรณีธุรกิจตุ๊กตานี้ หรือที่ยกตัวอย่างมานี้เอาเป็นการขายส่งข้าวบรรจุเสร็จไรซ์เบอร์รี่ หรือบางทีก็เรียกข้าวหอมนิลบ้าง (Black Rice) ก็มี ห่วงโซ่อุปทานนี้ หากไม่รวมคนขายปุ๋ย ขายเมล็ดพันธ์ เครื่องมือการเกษตรแล้ว ก็จะขอเริ่มต้นจากผู้ปลูกเลยนะคะ ดังจะมีรายละเอียดห่วงโซ่สายนี้ในแต่ละขั้นดังนี้
นี่ก็เป็นวงจรการค้าในธุรกิจส่งออก นอกจากนี้อาจมีรายละเอียดหรือการดำเนินการที่มากขึ้นอีก โดยเฉพาะในกระบวนการ การพัฒนาสินค้า ยกตัวอย่างเช่น หากผู้นำเข้าเห็นว่าข้าวหอมนิลนี้มีคุณประโยชน์ทางด้านโภชนาการมากมายตามที่ผู้ขายได้นำเสนอไป โดยมีผลการวิจัยรองรับ และได้เล็งเห็นว่าน่าจะสามารถต่อยอดพัฒนาแตกไลน์สินค้าใหม่ได้ บวกกับได้วิเคราะห์ทางด้านการตลาดว่าปริมาณผูบริโภคข้าวที่เป็น whole grain หรือเป็นเมล็ดแบบผลิตภัณฑ์ตัวแรกนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ที่เป็นอาหารเส้นโดยเฉพาะเส้น Pasta ที่มีความต้องการปริมากมากว่า และได้รับความนิยมไปในกลุ่มหลากหลายเชื้อชาติแล้ว จึงน่าจะมีการพัฒนาสูตรเส้นพาสต้าชนิดต่างๆขึ้นมา โดยมีส่วนผสมจากแป้งข้าวหอมนิล ณ จุดนี้ก็จะเกิดกระบวนการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าขึ้นไปอีก (Value Added) โดยอาจจะทำการพัฒนาที่ห้องปฏิบัติการของผู้นำเข้า หรือผู้ส่งออกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแยกกัน หรือมีความร่วมมือกันเพื่อนำไปสูสูตรเส้นพาสต้า ที่ผ่านการทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเป็นสูตรที่สามารถนำเข้าสู่การผลิต แตกออกมาเป็นสินค้าชนิดใหม่ (New Product) ที่มีกระบวนการการผลิตที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง จะต้องมีการลงทุนเพิ่มหรือหา Out Source เพื่อการผลิต หน่วยธุรกิจเองก็ต้องวิเคราะห์และทำการตัดสินใจแนวทางที่เหมาะสมกับตน ในการที่จะทำการต่อยอดจากข้าวหอมนิล มาเป็นผลิตภัณฑใหม่ ๆ ซึ่งในท้องตลาดจริงขณะนี้ได้แตกไลน์ไปในกลุ่มสินค้าต่างๆ แล้วที่ท่านอาจเคยเห็นหรือเคยได้ยินมาแล้วบ้าง
กลับมาที่สินค้าท่านเองก็ลองดูว่าอะไรบ้างที่สามารถทำการเพิ่มมูลค่าได้ ในฐานะที่ประเทศไทยเราอยู่ในสภาวะที่ต้นทุนการดำเนินการต่างๆนั้นมีสูงขึ้น ทั้งค่าแรง และวัตถุดิบเป็นต้น ในฐานะที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง (Upper Middle Income Country) จากธนาคารโลกแล้ว การผลิตสินค้าจึงควรมุ่งไปในกลุ่มที่สร้างมูลค่าเพิ่ม และมีนวัตกรรมมากว่าที่จะส่งออกวัตถุดิบที่ราคาจะเป็นไปตามกลไกของตลาดเท่านั้น เช่นการส่งออกข้าวแบบ G to G ที่ทำอยู่ราคาของสินค้าไม่ได้กำหนดโดยผู้ผลิต หรือผู้ปลูก จะถูกกำหนดโดยกลไกตลาด อย่างสถานการณ์ปัจจุบันที่ราคาตลาดโลกของข้าวต่ำกว่าต้นทุนการผลิตมาก ผู้ผลิตก็ต้องรับภาระการขาดทุนเช่นรัฐบาลทำการรับจำนำมาในต้นทุน 15,000 บาทต่อตัน แต่ราคาตลาดโลกอยู่ที่ 9,000 - 10,000 บาทต่อตัน รัฐบาลจึงเกิดภาระการขาดทุนเป็นมูลค่าเป็นล้านล้านบาทดังที่ปรากฎ ดังนั้นผู้ประกอบการต้องทำการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม หากรัฐบาลยังย่ำอยู่ในวงจรการค้าเดิมๆ ในทางปฏิบัติ ทั้งที่ในทางนโยบายเองก็เขียนไว้อย่างสวยหรูเรื่องการที่จะต้องมุ่งผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มอยู่ แต่ก้ยังอยู่บนกระดาษ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตรอื่นๆเช่น ยางพารา และปาล์มนำ้มัน เป็นต้น ที่เป็นฝ่ายต้องยอมรับการกดดันราคาจากตลาดอย่างเดียว ผู้ประกอบการต้องพิจารณาทางรอดเอาเอง ไม่ว่าจะทำต่อยอดกระบวนการแปรรูปไปเป็นตัวอาหาร หรือวัตถุดิบเป็นแป้ง เป็นเส้น เป็นอาหารแห้งประเภทขนมขบเคี้ยว หรือ Snack ต่างๆ รวมทั้งในผลิตภัณฑ์นอกลุ่มอาหารเอง ก็จะสามารถขายได้มูลค่าที่มากกว่า และที่สำคัญสามารถกำหนดราคาขายที่สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง และยิ่งเมื่อมีตราสินค้าที่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค ตราสินค้านั้นก็มีมูลค่าทางการตลาดขึ้นไปอีก จะกลายเป็นความยั่งยืนของธุรกิจได้ในที่สุด
หวังว่าผู้ประกอบการที่หวังจะเป็นผู้ส่งออก หรือเป็นผู้ส่งออกรายใหม่จะมีแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในผลิตภัณฑ์ สร้างตราสินค้าของท่านได้ และประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้ทุกท่านนะคะ
หนังสือแนะนำ การบริหารซัพพลายเชน และการประยุกต์ใช้ คลิกที่นี่
ไม่มีความเห็น