เข้าพรรษา (11) ; ภาวนาเพื่อแม่
วันแรกของสัปดาห์ในการทำงาน ชีวิตอันประเสริฐที่ได้พบพระพุทธศาสนา และฝึกฝนการใช้ธรรมะในชีวิตประจำวัน และยิ่งได้ฝึกกับผู้คนรอบตัวและผู้ป่วย ถ้าทำได้ใจนี้ก็จะเย็นและสงบ
แต่เรามักเข้าใจผิดคิดว่าต้องไปฝึกในวัดอย่างเดียว หาใช่ไม่การฝึกฝนในวัดอันเป็นที่สัปปายะคือการบ่มเพาะพลังของจิตให้มีกำลังเพื่อนำมาใช้จริงในชีวิตจริง โจทย์จริงของชีวิตคือที่สถานการณ์ที่ได้ใช้ศีลและธรรม ใช้เพื่อให้เกิดการประจักษ์ว่าเรามีสติมากน้อยเพียงใด เรามีปัญญาขนาดไหนต่อการเผชิญปัญหาและอุปสรรคของชีวิต
การฝึกฝนปฏิบัติเช่นนี้ ข้าพเจ้ามักเรียกว่า Engaged Buddhism การเนียนเนื้อวิถีพุทธเข้าสู่วิถีชีวิตประจำวัน ...
ทุกครั้งที่มีโอกาสข้าพเจ้ามักจะรีบสะสมแต้มเพื่อฝึกฝนกำลังของจิต เพราะตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตสภาวะการณ์จริงมักจะละเอียดขึ้นเรื่อยๆ
วันนี้หลานชายอยู่บ้านพอมีคนทำให้แม่อบอุ่นใจ ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตแม่และหลานเพื่อไปภาวนาที่วัด ความสัปปายะทำให้การฝึกฝนทำได้ง่ายและเห็นผลชัด ...เข้าทางจงกลม เดิน-นั่ง ภาวนาส่งผลต่อจิตให้แส่ส่ายน้อยลง พอขึ้นกุฏิก็ได้เห็นครอบครัวแมวมาอิงอาศัยอยู่ข้างมุ้งมุมระเบียงกุฏิ
แม่แมวนั่งลูกแมวโผเข้าดูดนม ขาหน้าของแม่ประคองกอดลูกน้อยเป็นภาพที่งดงามซึ้งใจมาก
ทำให้นึกถึงความรักของแม่นับตั้งแต่จำความได้มาจนถึงวัยย่าง ๔๓ นี้...ประเสริฐและยิ่งใหญ่มาก...
ทุกๆ ครั้งของการภาวนา ความคิดถึงแม่คิดถึงบ้านมีมาก ความเป็นอยู่ที่วัดหาได้สะดวกเหมือนที่บ้านไม่ แต่เมื่อนึกถึงองค์หลวงปู่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านก็ต่องอดทนตัดความอาลัยต่างๆ เพราะผลจากการภาวนานั้นยิ่งใหญ่กว่าและแผ่อานิสงค์ต่อบุพการีมากอย่างยิ่งส่งผลไปจนถึงชีวิตหลังความตาย ...ด้วยความรักเทิดทูนต่อพระคุณแม่และพ่อ จึงอดทนต่อการภาวนา ความอดทนนี้ก็ทำให้ชีวิตการฝึกนี้ผ่านมาได้เป็นปีที่สิบ อยู่ระหว่างบ้านกับวัดเป็นปีที่ ๘ และนับจากวันที่โกนหัวรักษาศีล๘ อย่างจริงจังก็ปีนี้เป็นปีที่ ๕ พรรษาที่ ๔
และตราบที่ยังมีลมหายใจมีชีวิต
เชื่อว่านั่นคือโอกาสและวาสนาที่ยังเพียรต่อได้อีก
...
๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๘
ไม่มีความเห็น