เข้าพรรษา (5) ; การทำงาน
ตั้งแต่ปลายปี 2548 กลับไปทำงานที่จังหวัดบ้านเกิด เริ่มบ่มเพาะฝึกฝนตนเอง "ปฏิบัติธรรมผ่านการทำงาน" ไปพบคำนี้จากท่านพุทธทาส
จึงเริ่มชีวิตขึ้นที่นี่
ใช้กรอบ "ทาน ศีล ภาวนา"
ทาน คือ ใช้ร่างกายและความรู้ความสามารถที่มีอยู่เป็นการเสียสละมุ่งการงานแบบไม่หวังผลตอบแทน
ศีล คือ ความดีงามไม่เบียดเบียนตนเองหรือผู้อื่น หรือให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด ฝึกฝนใจให้มีความนอบน้อมและอ่อนโยน ใช้ศีล๕ เป็นฐานเพื่อการปฏิบัติต่อผู้อื่น ใช้ศีล๘ ฝึกฝนหัวใจตนเองให้สมถะและเรียบง่าย เป็นอยู่แบบไม่ฟุ้งเฟ้อหรือฟุ่มเฟือย
ภาวนา ...ผ่านเหตุการณ์ เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันของชีวิตมาขบคิด พิจารณาใคร่ครวญว่าการพูด-กระทำของตนเองเป็นศีลหรือไม่เป็นศีล เป็นธรรมหรือเป็นกิเลส ถ้าครูบาอาจารย์ท่านทราบท่านจะตำหนิหรือชื่นชม
นำฐานแนวคิดนี้มาเป็นทางดำเนินชีวิตและผ่านมาปีนี้เป็นปีที่สิบ...เป็นระยะเวลามิใช่น้อยแต่เมื่อใคร่ครวญวันนี้ยังตื่นและมีลมหายใจ นั่นแสดงว่ายังฝึกต่อไปได้อีก และได้อีก
เข้าพรรษาปีนี้ "ตั้งใจ"
ทานมื้อเดียว ...
ไม่จำเป็นก็ไม่สมาคมข้องแวะผู้คนมากมายอันนอก
เหนือจากการงาน...ปลีกวิเวกแยกตัว...
ปฏิบัติข้อวัตรมิได้ขาดในเรื่องทำวัตรเช้า-เย็น เดินจงกรม-นั่งสมาธิ แม้เดินทางไปทำงานต่างจังหวัดก็ใช้พื้นห้องพักกว้างยาวที่เป็นอยู่เดินจงกลม...
ศึกษาพระธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ โชคดีมากพรรษานี้พี่เติ้ลให้วิทยุเครื่องเสียงเล็กๆ มามอบให้ได้ใช้ประโยชน์ดั่งที่ใจต้องการเลย นึกถึงทีไรในใจก็ได้แต่อนุโมทนาสาธุบุญนี้ด้วย...
ถอดบทเรียนตนเองเป็นวิทยาทานต่อเนื่องสม่ำเสมอ...
แม้ว่าสองวันนี้จะยังคงเดินทางแต่ข้อปฏิบัติก็ยังคงได้ทำ สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ใจมีน้ำหนัก ใจตั้งมั่น ไม่คลอนแคลน ...เคลื่อนไปทางสงบ และเกิดอาการความคิดปิ๊งแว้ปในเรื่องต่างๆ เร็วขึ้น
๑ เดือนที่ผ่านมา มีอาการอิมมูนต่ำแพ้ง่าย หลังการทำงานได้เดินจงกลมอาการคันและผื่นขึ้นมีไม่มาก ...การเข้านอนก็ตามเวลาที่ทำให้เมลาโทนินหลั่ง ร่างกายได้พัก ตื่นนอนก่อนตี๔ ด้วยความกระฉับกระเฉง ทำงานและเดินทางก็ไม่อ่อนล้าหรืออ่อนเพลีย
แต่ก็ยังต้องฝึกฝนปฏิบัติสู่การเรียนรู้ต่อไป
เพื่อหัวใจที่เมตตาและเกิดปัญญา...
...
๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๘
ไม่มีความเห็น