ครั้งที่ 23 วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
ส่งบทรายการวิทยุเรื่องปะการัง...อาณาจักรแห่งความหลากหลาย โดยอ.วิจิตรเป็นผู้ตรวจแต่อาจารย์ยังให้มาแก้ส่วนหัวนิดหน่อย และเพิ่มหัวข้อเกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ โดยจะสัมภาษณ์ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้มีความรู้ในด้านนี้ และนี่คือบทที่ผมเป็นผู้รวบรวมแต่ยังไม่ทราบออกอากาศวันไหนนะครับ
บทวิทยุ : ปะการัง......อาณาจักรแห่งความหลากหลายรูปแบบ : สารคดี ความยาว : 7 นาที ปีที่ผลิต : พ.ศ.2549เป้าหมาย : ประชาชนและผู้ฟังทั่วไปสถานีวิทยุศึกษา : รายการความรู้สู่ชุมชน FM 92.5 MHz AM 1161 KHz
UBCR 30 09.00-10.00โดย : ธีระชัย บำรุงศิลป์ รวบรวม สวัสดีค่ะท่านผู้ฟัง........ทะเล เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีความมหัศจรรย์ทางระบบนิเวศ หากเราได้ดำน้ำลงไปใต้ทะเล เราจะได้พบกับสิ่งมีชีวิต และระบบนิเวศที่น่าอัศจรรย์ใต้ท้องทะเล หนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจและเป็นสีสันแห่งทะเลสีครามนั้นก็คือปะการัง ในอาณาจักรแห่งความหลากหลายใต้ท้องทะเลนั้น ถึงแม้ปะการังไม่ได้เป็นทั้งหมดของระบบนิเวศ แต่ปะการังคือจุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิต หากไม่มีปะการัง ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาลและระบบนิเวศที่น่าอัศจรรย์ใต้ท้องทะเลแห่งนี้ปะการัง ถ้าดูจากรูปร่างภายนอกที่มีความหลากหลายของปะการังแล้ว หลายคนอาจจะต้องคิดว่า ปะการังเป็นก้อนหินบ้าง เป็นพืชบ้าง แต่ความจริงแล้วปะการังเป็นสัตว์ทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่งที่ไม่มีกระดูกสันหลัง มีโครงสร้างเป็นหินปูน ปะการังมีรูปร่างเป็นทรงกระบอก ขนาดตั้งแต่หนึ่งมิลลิเมตรถึงหนึ่งเซนติเมตร ร่างกายของปะการังแยกได้เป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นเนื้อเยื่อที่อ่อนนุ่นเรียกว่า “โฟลิบ (Polye)” รูปร่างเป็นทรงกระบอกปลายตัน มีปากอยู่ตรงกลางของปลายท่อด้านบน และมีหนวดอยู่รอบๆ ส่วนที่สองเป็นโครงสร้างหินปูน โดยสร้างขึ้นมาห่อหุ้มตัวเรียกว่า “คอรอลไลต์(Corallite)” การกินอาหารของปะการังจะอาศัยหนวดคอยดักจับสัตว์ตัวเล็กๆ เช่นแพลงค์ตอน จุลินทรีย์ต่างๆ ที่ล่องลอยอยู่ในน้ำเป็นอาหาร ลักษณะพิเศษของปะการังคือการอยู่ร่วมกันของพืชกับสัตว์ คือภายในเนื้อเยื่อของปะการังจะเป็นที่อยู่อาศัยของสาหร่ายเซลล์เดียวที่เรียกว่า “ซูซานเทลลี่” (Zooxanthallae) โดยสาหร่ายหรือพืชชนิดนี้จะทำหน้าที่ผลิตอาหารและพลังงานให้แก่ปะการังด้วยการสังเคราะห์แสง เพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโตและยังมีส่วนให้ปะการังสามารถสร้างหินปูนได้เร็วขึ้นด้วย ปะการังที่โตเต็มที่มีอายุจะให้กำเนิดลูกปะการังเล็กๆมากมาย โดยวิธีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศจากการปฏิสนธิระหว่างไข่และสเปิร์มที่ถูกปล่อยออกมา ไข่ที่ผสมพันธุ์แล้วจะกลายเป็นตัวอ่อน ตัวอ่อนนี้จะล่องลอยไปตามกระแสน้ำจนกว่าจะสามารถหาที่เกาะจับได้ จากนั้นจึงเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนด้วยการแตกหน่อตามแต่ลักษณะรูปร่างของปะการังแต่ละชนิด ส่วนการเจริญเติบโตของปะการังนั้นค่อนข้างช้ามาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยสภาพแวดล้อมที่สำคัญ ได้แก่ อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมประมาณ 20-29 องศาเซลเซียส แสงสว่างที่มากพอแก่การสังเคราะห์แสงของสาหร่ายที่อาศัยอยู่รวมกับปะการัง ความสะอาดของน้ำ สภาพท้องทะเลที่ค่อนข้างแข็งหรือมีความเปลี่ยนแปลงน้อย ความเค็มของน้ำค่อนข้างสูง จากรูปร่างภายนอกของปะการังที่มีลักษณะเด่นแตกต่างกันทำให้สามารถแบ่งกลุ่มของปะการังได้แปดกลุ่ม คือ หนึ่งปะการังเขาเกวาง มีลักษณะคล้ายเขากวาง บริเวณกิ่งจะมีตุ่มอยู่โดยรอบซึ่งเป็นที่อาศัยของตัวปะการัง สองปะการังแบบแผ่นราบ มีลักษณะคล้ายโต๊ะบางครั้งอาจซ้อนกันเป็นชั้น สามปะการังแบบห่อหุ้ม มีลักษณะแผ่ขยายคลุมพื้นผิวที่ห่อหุ้มอยู่ สี่ปะการังแบบก้อน มีลักษณะเป็นก้อนตันคล้ายก้อนหิน ห้าปะการังแบบกิ่งก้อน มีลักษณะรวมกันอยู่เป็นกระจุกค่อนข้างแน่น แต่ไม่ติดเป็นก้อนเดียวกัน หกปะการังแบบแผ่น มีลักษณะซ้อนๆกันเป็นกระจุกคล้ายใบไม้หรือผัก เจ็ดปะการังแบบเห็ด มีลักษณะการแผ่ออกคล้ายดอกเห็ด แปดปะการังสีน้ำเงิน มีสีน้ำเงินอยู่ในเนื้อของหินปูน และปะการังเหล่านี้ได้แผ่ขยายออกไปเป็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าแนวปะการังแนวปะการังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์นานาชนิด เพราะลักษณะที่เป็นซอก โพรงอยู่ทั่วไป จึงเหมาะแก่การหลบภัย เป็นแหล่งท่องเที่ยวใต้ทะเล เพราะความสวยงาม ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต ทำให้แนวปะการังกลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ออกจากนี้แนวปะการังตามชายฝั่งยังมีส่วนช่วยลดความรุนแรงของกระแสน้ำและคลื่นที่ซัดเข้าชายฝั่ง ในด้านการแพทย์เราสามารถสกัดสารเคมีจากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ในการทำครีมทาป้องการรังสีอัลตราไวโอเลตที่ทำลายเซลล์ผิวหนัง การทดลองเกี่ยวกับโรคมะเร็ง เป็นต้น แนวปะการังจึงเป็นระบบนิเวศน์ที่มีความสำคัญและมีความสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรสัตว์น้ำอีกระบบหนึ่งของระบบนิเวศชายฝั่งทะเล แต่ในปัจจุบันแนวปะการังถูกทำลายและเสื่อมสลายไปมาก เป็นเหตุให้ระบบนิเวศขาดความสมดุล โดยมีสาเหตุมาจากมนุษย์ เช่นการระเบิดจับปลา การทิ้งสมอเรือลงในแนวปะการัง การเก็บหักปะการังไปประดับตกแต่ง การทำเหมือแร่ริมชายฝั่ง ลอดจนการปล่อยน้ำเสียลงสู่ชายฝั่งที่มีแนวปะการัง ส่วนสาเหตุที่มาจากธรรมชาตินั้นเกิดจากสัตว์ทะเลที่กินเนื้อเยื่อของปะการังและเกิดจากคลื่นลมแรงพายุที่กระทบเข้าชายฝั่งทำให้ปะการังเสียหาย สิ่งเหล่านี้ได้ก่อให้เกิด ผลกระทบต่อระบบนิเวศของแหล่งปะการัง ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง เอกชน ภาครัฐ และประชาชน จึงมีการประสานความร่วมมือกันอนุรักษ์แนวปะการังเมื่อพูดถึงการอนุรักษ์หลายคนคงนึกถึงปะการังเทียม และ การปลูกปะการัง โดยเข้าใจว่านี่คือหนทางแก้ไข ที่จะช่วยให้ปะการังเมืองไทยอยู่รอด แต่ความเป็นจริงแล้วปะการังเทียมสร้างขึ้นเพื่อ อนุรักษ์พันธุ์ปลา ถึงแม้จะมีสัตว์เข้าไปอาศัยอยู่ แต่ความหลากหลายนั้นต่ำกว่าแนวปะการังแท้อยู่มาก นอกจากนั้นปะการังเทียมยังไม่สามารถทดแทนในด้านแหล่งท่องเที่ยวไดเลย ส่วนการปลูกปะการังเป็นแค่งานวิจัยขั้นเริ่มแรก เราอาจประสบผลสำเร็จในการปลูกปะการังนับพันก้อน แต่ระบบนิเวศที่แท้มีปะการังอยู่นับล้านก้อน แต่เราต้องใช้งบประมาณและเวลาขนาดไหนเพื่อสร้างแนวปะการัง และถ้าเรามีเงิน กำลังคนขนาดนั้นแล้ว ทำไมไม่นำมารักษาปะการังตามธรรมชาติแนวทางที่ช่วยปะการังให้คงอยู่คู่เมืองไทยคือ รักษา มิใช่ ฟื้นฟู หากเราดูแลทรัพยากรใต้น้ำให้ดี แล้วเปิดโอกาสให้ธรรมชาติเข้ามาเยียวยา โอกาสที่ลูกหลานชาวไทยจะได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทรงคุณค่าที่สุดแห่งหนึ่งในทะเลยังมีอยู่แต่ในวันนี้เราทุกคนต้องพยายามกันให้มากขึ้นกว่าเดิม หัวข้อสัมภาษณ์ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์- ความสำคัญของปะการัง- แนวทางการอนุรักษ์ปะการังในปัจจุบันอ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ไม่มีความเห็น