อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
สิงหาสน์ปรางค์รัตน์บรร เจิดหล้า
บุญเพรงพระหากสรรค์ ศาสน์รุ่ง เรืองแฮ
บังอบายเบิกฟ้า ฝึกฟื้นใจเมือง
โคลงบทนี้ใน "นิราศนรินทร์" เพียงสี่บรรทัดแต่ถ่ายทอด "อัตลักษณ์ไทย" ได้อย่างยอดเยี่ยม กล่าวคือ "กรุงศรีอยุธยาแตกไปแล้ว แต่กลับลอยลงมาจากสวรรค์อีกหรืออย่างไร มีปราสาทพระราชวังอันงดงามตระการตา ด้วยบุญบารมีของพระมหากษัตริย์ช่วยทนุบำรุงพระศาสนาให้รุ่งเรือง ปัดเป่าทุกข์ให้แก่ไพร่ฟ้าชาวประชา"
บรรทัดล่างสุดของโคลงบทนี้ ถูกนำมาให้ความหมายแก่ "สัปปายะสภาสถาน" ซึ่งเป็นอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ที่กำลังก่อสร้างขึ้นที่บริเวณถนนเกียกกาย มีพื้นที่ราว 119 ไร่ ก็สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะ "บังอบายเบิกฟ้า ฝึกฟื้นใจเมือง" ความหมายคือ ฟื้นจิตใจของเมืองขึ้นมาเมื่อชาติเรามีวิกฤติในเรื่องของศีลธรรม
กลุ่มผู้ออกแบบพูดถึงแรงบันดาลใจภายใต้การออกแบบเอาไว้ว่า http://www.asa.or.th/th/node/103824
---
"สัปปายะสภาสถาน"เป็นสถาปัตย์ไทยตามคติ"ไตรภูมิ"นอกจากแสดงเอกลักษณ์ทางจิตวิญญาณถึงความเป็นไทย ยังมีความหมายลึกซึ้งเพื่อให้คนไทยและเหล่า ฯพณฯ ที่ดี และพวกเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลนักเลือกตั้งในเสื้อสูทประชาธิปไตย เมื่อเข้ามาอยู่ในสภาจะสำนึกถึง "บาปบุญคุณโทษ"พลิกฟื้นจิตใจผู้คนให้ประกอบกรรมดีขึ้นมาบ้าง
การออกแบบรัฐสภาแห่งใหม่นี้เรียกกันว่า "กระบี่ดาบเดียว" รวมเอาทุกมิติเข้าด้วยกัน อลังการงานสร้างทั้งภายใน ภายนอก ยังมีระบบคมนาคมครบวงจรรองรับทันทีที่สร้างเสร็จในปี 2558 ทางน้ำมีท่าเทียบเรือประชาชน ทางบกมีประตูเข้าออกสองด้าน ถนนโดยรอบจะขยายใหม่กว้างกว่าเดิม ใต้ดินหรูเลิศด้วยสถานีรถไฟฟ้ารัฐสภาอยู่หัวมุมทางเข้า
ชาตรี อธิบายว่า การออกแบบรัฐสภาใหม่เน้นอุดมคติ 5 เรื่อง คือ ชาติ ศีลธรรม สติปัญญา สถาบันพระมหากษัตริย์ และประชาชน ตอบโจทย์ 4 ข้อคือ 1.ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมจิตใจที่จะพลิกฟื้นจิตวิญญาณของคนในชาติ ในช่วงที่สังคมเกิดวิกฤตศีลธรรมขณะนี้ 2.มีอัตลักษณ์เป็นไทย เป็นคุณค่าของแผ่นดิน 3.สร้างความเป็นเอกภาพระหว่างรัฐกับประชาชน และ 4.สร้างสำนึกของการคิดสร้างร่วมกันในสังคมไทย
"ตอนที่เริ่มงานเรานึกถึงรัฐสภาในฝัน เราก็เขียนถึงเรื่องใหญ่ๆ ก่อน เรื่องประชาชน เรื่องชาติ เรื่องอื่นๆ ว่าเราคิดอย่างไร แล้วเราก็ตอบคำถามทีละข้อ จนได้ออกมาว่าสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นต้องเป็นสถานที่ของการประกอบกรรมดี มีศีลธรรม เพราะชาวบ้านเลือก สส. สว. ให้เข้ามาทำความดี"
"แนวคิดประชาธิปไตยแบบตะวันตกต้องการแยกกติกาต่างๆ ออกจากกัน ระหว่างแนวคิดทางจิตใจซึ่งเป็นกติกาที่คลุมเครือ ไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครดี ไม่ดี แต่ของไทยผมยังเชื่อว่าศีลธรรมกับเรื่องการเมืองเป็นเรื่องเดียวกัน แยกไม่ออก ฉะนั้นเราเสนอตรงนี้ก็มีอารมณ์ของการตลาดด้วย หลายคนเห็นว่าบ้านเมืองกำลังมีปัญหา มีวิกฤต คนชั้นกลางคนทุกชนชั้นใฝ่ฝันถึงศีลธรรม และคิดว่านี่จะเป็นยาวิเศษที่แก้ปัญหาของสังคมได้"
---
อย่างไรก็ตามผมคิดว่ามีบทความสองชิ้นที่วิพากษ์ "สัปปายะสภาสถาน" ได้ดี ชิ้นหนึ่ง "ประชาธิปไตยที่ตีนเขา (พระสุเมรุ) : ว่าด้วยอำนาจของภาษาสถาปัตยกรรมในอาคารรัฐสภาแห่งใหม่" ซึ่งเป็นของ ชาตรี ประกิตนนทการ http://ibmp.bus.tu.ac.th/Documents/Parliament.pdf
อาจารย์ชาตรีได้เปรียบเทียบ "อุบาย" การออกแบบระหว่าง สัปปายะสภาสถานของไทยและ อาคารรัฐสภาของเยอรมันไว้ได้อย่างแยบคายดังต่อไปนี้
"ผมอยากจะเปรียบเทียบกับรัฐสภาเยอรมันที่กรุงเบอร์ลิน (Reichstag) ที่ถูกสร้างใหม่เมื่อ ค.ศ. 1999 โดยสถาปนิก นอร์แมน ฟอสเตอร์ (Norman Foster) เขาออกแบบสถาปัตยกรรมขึ้นมาเป็นโดมแก้วกระจกขนาดใหญ่ ครอบทับส่วนที่เป็นห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งออกแบบโดยกดให้ไปอยู่ชั้นล่าง
โดมข้างบนออกแบทางเดินวนรอบตัวโดม ซึ่งทางเดินนี้ประชาชนทุกเพศทุกวัยยกเว้นนักโทษสามารถเข้าไปเดินได้ ขณะที่เดินไปก็สามารถมองลงมาเห็นการประชุมรัฐสภาได้ มองลงไปเห็นผู้แทนของตัวเองกำลังทำหน้าที่อยู่ ภาษาสถาปัตยกรรมแบบนี้มันเป็นรูปธรรมที่แสดงถึงอำนาจของประชาชนอย่างชัดเจน ประชาชนคือเจ้าของอำนาจทางการเมืองอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรมากดข่มให้เรารู้สึกว่าเราเป็นเพียงคนต่ำต้อยอย่างไร
ในขณะที่แบบสถาปัตยกรรมรัฐสภาของไทย ปากก็พูดว่าแสดงถึงอำนาจของประชาชน แต่ตัวรัฐสภากลับกดข่มประชาชนให้เหลือตัวนิดเดียว ยิ่งถ้ามองรวมไปกับการให้ค่าในเชิงสัญลักษณ์ของพื้นที่ลานประชาชนและลานประชาธิปไตยว่าเป็นเพียงที่ปรากฎตัวของประชาชนในระดับโลกียภูมิด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องอธิบายก็คงพอจะรับรู้ถึงนัยแฝงขององค์ประกบทางสถาปัตยกรรมนี่ได้นะครับว่า เค้าให้ศักดิ์ศรีและอำนาจแก่ประชาชนมากน้อยเพียงใด"
และอีกชิ้นที่วิพากษ์เรื่องนี้ได้ดีไม่แพ้กันคือ "'เขาพระสุเมรุ' กับอาคารรัฐสภาใหม่ไทย: 'สภาวะแห่งการยกเว้น' ในฐานะกระบวนทัศน์การสร้างงานสถาปัตยกรรม" ของ ดร. วิญญู อาจรักษา งานชิ้นนี้ปรับปรุงจากบทความภาษาอังกฤษชื่อ "'Mount Sumeru' and the New Thai Parliament House : The 'State of Exception' as a Paradigm of Architectural Practices" ที่ถูกนำเสนอในงานประชุมวิชาการ Theoretical Currents : Architecture, Design and the Nation, Nottingham Trent University, United Kingdom ระหว่างวันที่ 14 - 15 กันยายน 2553 http://www.tci-thaijo.org/…/NA…/article/viewFile/10624/11327
ผมสนใจติดตามอ่านงานออกแบบด้านสถาปัตยกรรม ของอาจารย์ชาตรี มานานแล้ว และผมเชื่อว่ารูปแบบเชิงสถาปัตยกรรมที่สะท้อนออกมาบนอาคารมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับรูปแบบการปกครอง (อาจารย์ชาตรีพูดถึงความแตกต่างระหว่างสถาปัตยกรรมสมัยคณะราษฎรและปัจจุบัน ซึ่งเชื่อมโยงกับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสมัยคณะราษฎรและสมัยปัจจุบัน)
เช่นกัน ผมคิดว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้าคือ สถาปัตยกรรมที่ไม่ใช่อาคารสิ่งก่อสร้าง แต่เป็นระบบการเมืองตามอุดมคติแบบไทยที่กำลังเกิดขึ้น ผมให้ชื่อโดยรวบรัดว่า "รัตติกาลประชาธิปไตย สัปปายะสภาสถาปนา" - http://tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=4315
บทความนี้มองโลกในแง่ร้าย ที่ว่าพลังประชาธิปไตยในระยะสั้น (ซึ่งยืนพื้นฐานอยู่บนค่านิยมสากล -- ที่สำคัญคือ ค่านิยมเรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย) จะไม่สามารถหยุดยั้งการปรากฎตัวขึ้นของระบอบการปกครองที่วางอยู่บนค่านิยมแห่งอัตลักษณ์ของความเป็นไทยแบบนี้ได้
ค่านิยมแห่งอัตลักษณ์ของความเป็นไทยคืออะไร ผมอธิบายเรื่องนี้ให้เพื่อนทั้งในแวดวงการทูตและนักข่าวต่างประเทศฟังอย่างสั้น ๆ ว่า "ภาพจำของพระเจ้าอโศกมหาราชและศาสนาพุทธในอินเดียเมื่อยามรุ่งเรืองถึงขีดสุด"
นี่คืออุดมการณ์ที่หล่อเลี้ยงความเป็นไทย และมีปัญญาชนไทยหลายยุคหลายสมัย นับตั้งแต่ พระองค์เจ้าธานีนิวัฒน์ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เสถียรโกเศศ นาคะประทีป ฯลฯ คอยให้ความหมายและอรรถาธิบายมาจนปัจจุบัน และชนชั้นกลางไทยรับเอามาเป็นจิตสำนึกโดยไม่รู้ตัว
แต่อัตลักษณ์ไทยนั้นก็ไม่ได้ยืนอยู่อย่างเซื่อง ๆ มันมีพลวัตภายใน และบางครั้งถูกท้าทายจากภายนอก แต่ก็จะรักษารากเหง้าอันเป็นหลักคิดสำคัญไว้ เปรียบเสมือน "รากและใบไผ่" https://www.scribd.com/doc/227538481/Thai-Identity...
(บทความชิ้นนี้ ถูกตีพิมพ์ในหนังสือ Redefine Thailand : นิยามใหม่ประเทศไทย ของ SIU)
ส่วนบทความวันนี้ของ ชัยอนันต์ สมุทวนิช : "Co-habitation" ก็มีไอเดียทำนองนี้ คือให้ปรับเป็นสภาเดียว แต่มีการสรรหาตัวแทนจากภาควิชาชีพมาด้วย http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx...
ส่วนอีกบทความของ "สิริอัญญา" ก็พูดในทำนองเดียวกัน คือการสรรหา สส จากสายวิชาชีพ http://www.manager.co.th/daily/viewnews.aspx...
เมื่อเทียบกันสองบทความแล้ว ผมมองว่าบทความชัยอนันต์ดูลุ่มลึกน่าฟังกว่า ของสิริอัญญาซึ่งใช้คำแรงอย่าง "สัดว์เดรัจฉาน มหาโจร อัปปรีย์ไป-จัญไรมา ฯลฯ" แต่บทความทั้งคู่ก็เสนอแนวคิดเดียวกัน คือทอนอำนาจรัฐสภา ที่มีที่มาจากประชาชนโดยตรงลง และเพิ่มตัวแทนสรรหาที่มีแนวโน้มอุดมการณ์ไปทางฝ่ายชนชั้นนำมากขึ้น (ระบบแบบนี้ได้ทดสอบใน ระบบวุฒิสมาชิกแล้ว แม้คุมไม่ได้ร้อยละร้อย แต่ก็นับว่าคานอำนาจ สส จากพรรคการเมืองได้ดีพอใช้)
ที่ผมพูดว่า "มองโลกในแง่ร้าย" เรื่องพลังประชาธิปไตยไม่สามารถยับยั้ง "สัปปายะสภา" ในระยะสั้นได้ เพราะดูประสบการณ์จากการเคลื่อนไหวมวลชนที่ผ่านมา ว่าไม่เคยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางการเมือง --- ซึ่งจะเกิดได้จากสองกรณี คือการใช้กำลังทหารยึดอำนาจ หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญเช่น ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินทำลายองคาพยพของรัฐบาล เช่นยุบพรรคการเมือง ถอดถอนนายกฯ เป็นต้น (แต่ศาลเป็น passive power ในขณะที่กองทัพเป็น active power) ดีที่สุดเท่าที่ทำได้คือ คณะรัฐประหารถูกกดดันให้ร่างรัฐธรรมนูญ และมีการเลือกตั้งใหม่โดยเร็วที่สุด แต่กระนั้นเวทีการร่างรัฐธรรมนูญ ก็เป็นของฝ่ายชนชั้นนำอยู่ดี
ต่อไปนี้ ก็คงจะมีวาทกรรมเรื่อง นักการเมืองทราม คู่ไปกับการปฏิรูปการเมืองที่กินได้และมีคุณธรรมอะไรทำนองนี้เผยแพร่ออกมาเป็นระยะเพื่อสนับสนุนและสร้างความชอบธรรมให้กับการแก้เขียนธรรมนูญที่มีตัวแทน สส. จากการสรรหา
ไม่มีความเห็น