โครงงานการรู้จักตนเอง : โครงการมหาวิทยาลัยชีวิต


บทคัดย่อ

โครงงานของข้าพเจ้าทำคือ ความร้าวฉานในอารมณ์ลดแล้วซึ่งความโกรธ โครงงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ ของตนเอง ที่เอาอารมณ์โกรธที่มีอยู่ติดตัวแล้วเป็นนิสัยโดยไม่ฟังบุคคลรอบข้างไม่ใสใจว่าใครจะตักเตือนจะทำไปโดยไม่ยังคิดว่าผลที่กระทำไปจะมีผลกระทบมาหาตัวข้าพเจ้าในวันข้างหน้า

โดยข้าพเจ้าเริ่มทำงานในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2558 ถึงวันที่25 เมษายน 2558 โดยข้าพเจ้าทำที่บ้านและครอบครัวและการพบปะเพื่อนฝูงเมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมา ทำให้รู้สึกว่าเมื่อไปพบปะเพื่อนๆ เพื่อนได้ถามว่าทำไมเดียวนี้เงียบจังไม่เอะอะโวยวายเหมือนเมื่อก่อน

วิธีการแหละขั้นตอน พระพุทธศาสนาเป็นศาสตร์แห่งความเมตตากรุณา พระพุทธเจ้ามีพระคุณข้อใหญ่ประการหนึ่งคือพระมหากรุณาชาวพุทธทุกคนได้รับสั่งสอนให้มีเมตตาให้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นด้วย ด้วยกายวาจาใจและมีน้ำใจปรารถนาดีแม้แต่มิได้ทำอะไรอื่นก็ให้แม่เมตตาแก่เพื่อนมนุษย์ตลอดจนสัตว์ทั้งปวงขอให้อยู่อย่างเป็นสุขปราศจากเวรภัยโดยทั่วหน้า

การเข้าใจและรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ไม่ใช่เรื่องง่าย นับประสาอะไรจะไปเข้าใจและรู้จักคนอื่น บางครั้งเราไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นไม่เข้าใจเรา ขณะที่เราเกิดความคิดว่าคนอื่นไม่เข้าใจเรานั้นก็เพราะภาพตนเองที่เราเห็นตนเองกับที่ที่คนอื่นเห็นเป็นคนละภาพกัน (หรือเปล่า?) เราเห็นแต่พฤติกรรมภายนอกของคนอื่น จากคำพูดและการกระทำ ส่วนพฤติกรรมภายใน เช่นความคาดหวัง ความต้องการที่แท้จริง ความคิด ความเชื่อ ฯลฯ เราได้แต่คาดเดาเอา ตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง

คนจำนวนมากก็ไม่เปิดเผยความรู้สึก ความต้องการ ความคิดของตนให้คนอื่นรู้ง่ายๆ

  • บางคนก็ชอบเสแสร้ง เช่น ข้างในเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัส แต่ปากบอก ไม่เป็นไร ขี้เกรงใจจนยอมเบียดเบียนตนเองเพื่อคนอื่น เพื่อมายืมเงิน ตนไม่มีก็เที่ยวไปยืมไปกู้คนอื่นมาให้เขา บ่อยครั้งก็ใช้หนี้แทนเขาด้วย
  • คนโผงผางขี้โมโหส่วนใหญ่ข้างในจิตใจดีงาม อยากเห็นความถูกต้อง ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเป็นธรรม
  • คนเงียบๆ พูดน้อย ยิ้มยาก ส่วนใหญ่อยากมีเพื่อน แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง รักใครก็ไม่กล้าบอกเขา
  • บางคนมีนิสัยขี้กังวลจนไม่กล้าลงมือทำอะไรหรือเดินทางไปไหน
  • บางคนผิดนัดผิดสัญญาโดยไม่รู้สึกอะไร ทำเฉยเหมือนไม่เคยรับปากอะไรกันไว้ ไม่รู้สึกอะไร แถมยังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนคนอื่นตามไม่ทัน

แต่ละคนมีทุกข์กันไปคนละแบบ

-คนเสแสร้งไม่รู้ว่าทำไมตนไม่กล้าปฏิเสธคนอื่น ไม่กล้าแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา บางครั้งอยากพูดคำว่า "ไม่" แต่ไม่รู้จะพูดยังไง

-คนขี้โมโหก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตนเป็นแบบนี้ ทั้งที่ไม่อยากเป็น บ่อยครั้งที่รู้สึกเสียใจหลังจากใช้คำพูดหรือการกระทำอะไรที่รุนแรงกับคนอื่น บ่อยครั้งที่แอบร้องให้คนเดียว ไม่กล้าให้ใครเห็น ไม่เข้าใจว่าการเอ่ยคำขอโทษทำยังไง เหตุใดตนจึงกลัวที่จะพูดคำนี้ บางครั้งจึงสับสนว่าตนเป็นคนกล้าจริงหรือเปล่า

-คนเจ้าระเบียบก็ไม่รู้ว่าทำไมตนจึงหงุดหงิดง่าย แม้กับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่รอยนิ้วมือบนกระจกที่คนอื่นแทบสังเกตไม่เห็น แต่เราก็เห็นจนได้ เห็นแล้วก็ก่อกวนความรู้สึก(ก่อทุกข์)ในใจเราได้มากกว่าคนอื่น

โครงงานนี้ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์ในระดับหนึ่ง ทำงานให้ข้าพเจ้ารู้จักตนเองว่าได้ลดความโกรธลงทำให้ครอบครัวของข้าพเจ้ามีความรักความเข้าใจแหละความอบอุ่นมากขึ้นรวมทั้งบุคคลรอบข้างแหละเพื่อนๆในสังคมมมากขึ้น

วิชาการรู้จักตนเอง

แบบเสนอเค้าโครงงานพัฒนาบุคลิกภาพ

ความร้าวฉานในอารมณ์ ลดแล้วซึ่งความโกรธ

ศูนย์การเรียนรู้เพื่อปวงชน (ศรป.สุราษฎร์ธานี)

ศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนเครือข่ายมหาวิทยาลัยชีวิต (ศรช.เมืองชุมพร)

หลักการหรือแนวคิดที่นำมาใช้ในการทำโครงงาน

สาเหตุในอารมณ์โกรธของข้าพเจ้า

-ความคับข้องใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้ดังใจปรารถนา

-ความรำคาญ หงุดหงิดจากคนรอบข้างและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ

-ความรู้สึกไม่สะดวกในการดำเนินชีวิตประจำวัน

-การถูกรบกวนความเป็นส่วนตัว

-ความเสียใจ ความกลัวที่กลายเป็นความโกรธ

-ความผิดหวัง ความรู้สึกว่าตัวข้าพเจ้าเป็นคนประสบความล้มเหลว หรือสูญเสีย

วิธีการหาทางออกให้กับอารมณ์ตนเอง

-ยอมรับว่าตนเองกำลังรู้สึกโกรธ และพิจารณาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ดีหรือร้าย

-พิจารณาถึงสาเหตุของความโกรธ อารมณ์ตนเอง และพยายามเปิดความคิดให้กว้างและยืดหยุ่น

-ตัดสินใจทำการแก้ไขปัญหาของอารมณ์อย่างสร้างสรรค์

วิธีการควบคุมอารมณ์

ตั้งสติให้มั่น ทำใจให้สงบ ระงับอารมณ์ที่พุ่งพล่านก่อนทำความตกลงหรือลงมือทำอะไร เพราะอาจตัดสินใจผิดพลาด หากเจรจาหรือแก้ไขปัญหาขณะที่กำลังมีอารมณ์ให้ถามตนเองก่อนว่า “กำลังต้องการเอาชนะ” หรือ “ต้องการแก้ปัญหา” ถ้าคำตอบคือ การเอาชนะ ให้หยุดการเจรจาไว้ แล้วหาทางระงับอารมณ์ และความคิดเอาชนะให้ได้ก่อน เพราะจะไม่มีทางที่ตัวข้าพเจ้าจะเอาชนะได้อย่างสันติ

แสดงอารมณ์ความรู้สึกและความต้องการของตนเองด้วยท่าทีไม่ก้าวร้าว ไม่ข่มขู่ หรือละเมิดสิทธิของคนอื่น หาทางระบายความโกรธออก ถ้าหากว่าไม่สามารถทำได้ ก็ระบายกับคนใกล้ชิดแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่เก็บอารมณ์ไว้คนเดียว

หาวิธีการผ่อนคลายอารมณ์ให้กับตนเอง เช่น เล่นกีฬา ทำกิจกรรมภายในบ้านเช่น ตัดกิ่งไม้ ดายหญ้า ปลูกต้นไม้ ฯลฯ เพื่อเป็นเทคนิคการผ่อนคลายอารมณ์ กล้ามเนื้อ กำหนดลมหายใจ หรืออาจสวดมนต์สั้น ๆ และ “ตั้งสติ”

หลักการที่ใช้ในการควบคุมอารมณ์ของข้าพเจ้า

1) ให้มีสติอยู่เสมอเพื่อควบคุมอารมณ์ที่รุนแรงให้คลายลง เช่น อารมณ์วิตกกังวล อารมณ์โกรธ อิจฉาริษยา การใช้อารมณ์ของคน หากใช้เพียงเล็กน้อยแล้วพยายามควบคุมมันให้ได้โดยใช้ “สติ” หรือหลักธรรมะเข้ามาช่วยในการเผชิญกับเหตุการณ์หรือปัญหาต่าง ๆ ก็จะทำให้เหตุการณ์หรือปัญหาต่าง ๆ นั้นเป็นไปในทางที่ดีขึ้นได้ ในทางตรงกันข้ามหากผู้ใดใช้อารมณ์มากหรือรุนแรงเกินไป ก็อาจจะทำให้เหตุการณ์หรือปัญหาต่าง ๆ ที่เผชิญอยู่กลับเลวร้ายลงไปได้เช่นกัน

2) ใช้คำพูดแสดงความรู้สึกแทนการกระทำ (เทคนิคการแสดงออกที่เหมาะสม) เช่น โกรธเพื่อนที่ผิดนัด ไม่ควรแสดงออกโดยการตำหนิดุด่าแต่ควรใช้คำพูดแทนว่า “ฉันโกรธมากที่เธอผิดนัดเมื่อวาน” หรือ ถูกเพื่อนตำหนิบางเรื่องที่ทำให้โกรธ ก็ไม่ควรแสดงออกโดยการทะเลาะกับเพื่อน แต่ควรใช้คำพูดแทนว่า “คำพูดของเธอทำให้ฉันรู้สึกโกรธมากและมันจะทำลายความเป็นเพื่อนของเราด้วย” เป็นต้น

3) ให้ยืดเวลาออกไปก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป หรือพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์รุนแรงหรืออารมณ์เสีย บางคนอาจใช้วิธีการนับหนึ่งถึงสิบ หรือถึงร้อยในใจเพื่อยึดเวลาให้อารมณ์ที่รุนแรงลดลง จะช่วยให้การแสดงออกที่รุนแรงลดลงไปได้ หรืออาจจะใช้วิธีออกจากเหตุการณ์ตรงนั้นไปก่อน รอให้อารมณ์ลดความรุนแรงลงแล้วจึงกลับมาเผชิญเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง ก็จะทำให้เรามีสติมากขึ้นในการตัดสินใจกระทำสิ่งต่าง ๆ ลงไป

4) ใช้การข่มใจ การให้อภัยและมองโลกในแง่ดี ให้คิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นถ้าเราแสดงอะไรออกไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรง รู้จักให้อภัยและพยายามฝึกมองสิ่งที่เกิดขึ้นต่าง ๆ ในด้านดีเสมอถ้าทำได้ จะทำให้เรามีอารมณ์ที่เป็นสุขมากยิ่งขึ้น หรือถ้าข่มใจไม่อยู่จริง ๆ ก็อาจใช้วิธีระบายออกโดยการเลี่ยงไปแสดงออกกับสิ่งอื่น ๆ แทนก็ได้ เช่น เขียนระบายอารมณ์ ในกระดาษ แอบร้องไห้ปลดปล่อยอารมณ์ หรือต่อยตีกระสอบทราย (อาจใช้ตุ๊กตาแทน) แต่อย่าให้กลายเป็นการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น

5) เมื่อมีเรื่องทุกข์ใจหรือเครียดควรปรึกษาเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้หรือผู้ใหญ่ที่เราให้ความเคารพนับถือ การที่คนเรามีความทุกข์หรือความเครียดแล้วเก็บกดไว้ในใจตนเองอยู่เสมอ เปรียบเสมือนลูกโป่งที่ถูกอัดอากาศเข้าไปเรื่อย ๆ หากไม่มีการปลดปล่อยลมออกมาเสียบ้าง ไม่นานลูกโป่งก็จะแตก เช่นเดียวกันหากคนเรามีแต่ความทุกข์เก็บสะสมไว้มากเกินไป สักวันหนึ่งก็อาจจะกลายเป็นโรคประสาท หรือโรคจิตต่อไป

ได้ จึงควรปลดปล่อยความทุกข์ที่มีอยู่ออกไปเสียบ้าง

วิธีการและขั้นตอนการดำเนินการ (จะต้องมีการสังเกตตนเองและจดบันทึกสิ่งที่พบจากการสังเกต)

1)เริ่มจัดการกับอารมณ์ตนเองตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ดังนี้

-ตระหนักรู้อารมณ์โกรธที่เกิดขึ้น เช่น หัวใจเต้นมากขึ้น รู้สึกร้อนๆ บริเวณใบหน้า การหายใจสั้นลง

-ยอมรับความโกรธที่เกิดขึ้น ช่วยให้ความโกรธลดลงเพราะการยอมรับทำให้ความโกรธลดลงอันนี้ต้องลองทำกันดูหากเรายิ่งโทษสิ่งแวดล้อมแน่นอนว่ามีปัจจัยต่างๆที่ทำให้โกรธแต่เราอาจมีประสบการณ์ว่ายิ่งเราหาคนมารับผิดชอบกับความรู้สึกของเราความโกรธก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

-หายใจเข้าออกลึก ๆ ผ่อนคลายตนเอง อาจเป็นการพูดคุยระบายกับคนที่คุณไว้ใจ หรือหากหาคนรู้ใจไม่ได้ ก็หาทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ เช่น การอ่านหนังสือ ฟังเพลง ไปเที่ยว

  • ทำสมาธิ ,ควบคู่กับทำกิจกรรมยามว่างกับครอบครัว
  • จดบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และนำมาอ่าน พิจารณา วิเคราะห์
  • สรุปผลที่ได้จากการทำโครงงาน เป็นรายงานนำเสนออาจารย์ประจำวิชา

สรุปผลที่ได้จากการทำโครงงาน

ข้าพเจ้าสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองได้ด้าน อารมณ์ จิตใจ ปัญหา ความคิด และการอยู่ร่วมกันกับบุคคลใกล้ชิด ทั้งในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน เพื่อนนักศึกษา และบุคคลทั่วไปในสังคมได้อย่างสันติสุข เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา มีเหตุผลมากขึ้น มีความคิดรอบคอบมากขึ้น คิดก่อนทำ คิดก่อนตัดสินใจอย่างถี่ถ้วน คิดวิเคราะห์แล้ววิเคราะห์อีกหลาย ๆ ครั้งก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป และหาคำตอบว่า ทำแล้วดีหรือไม่ ผลที่จะเกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ดีมากว่า หรือไม่ดีมากกว่า

และเกิดความฉลาดทางอารมณ์ ดังนี้

1)รู้จักอารมณ์ของตนเอง

2)จัดการกับอารมณ์ตนเองได้

-ทบทวน ว่ามีอะไรบ้างที่เราทำลงไปเพื่อตอบสนองอารมณ์ที่เกิดขึ้นและพิจารณาว่าผลที่ตามมาเป็นอย่างไร

-เตรียมการในการแสดงอารมณ์ ฝึกสั่งตัวเองว่าจะทำอะไร และจะไม่ทำอะไร

-ฝึกรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น หรือที่เราต้องเกี่ยวข้องในด้านดี ทำอารมณ์ให้แจ่มใส ไม่เศร้าหมอง

-สร้างโอกาสจากอุปสรรค หรือหาประโยชน์จากปัญหา โดยการเปลี่ยนมุมมองเช่น คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือความท้าทายที่จะทำให้เราพัฒนายิ่งขึ้น เป็นต้น

- ฝึกผ่อนคลายความเครียด โดยเลือกวิธีที่เหมาะกับตนเอง เช่น ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ

เดิน จงกรม เล่นดนตรี ปลูกต้นไม้

3) สร้างแรงจูงใจให้ตนเอง

การมองหาแง่ดีของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จะช่วยให้เราเกิดความเชื่อมั่นว่า สามารถเผชิญกับเหตุการณ์นั้นได้ และทำให้เกิดกำลังใจที่ก้าวไปสู่เป้าหมายที่วางไว้

-ทบทวนและจัดอันดับสิ่งสำคัญในชีวิตโดยให้จัดอันดับความต้องการ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็นทั้งหลายทั้งปวง แล้วพิจารณาว่าการที่เราจะบรรลุสิ่งที่ต้องการนั้น เรื่องไหนที่พอเป็นไปได้ เรื่องไหนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

-ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เมื่อได้ความต้องการที่มีความเป็นไปได้แล้วก็นำมาตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อวางขั้นตอนการปฏิบัติที่จะมุ่งไปสู่จุดหมายอื่น ๆ

-มุ่งมั่นต่อเป้าหมาย ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงความฝัน ความต้องการของตนเอง ต้องระวังอย่าให้มีเหตุการณ์มาทำให้เราเกิดความไขว้เขวออกนอกทางที่ตั้งไว้

-ลดความสมบูรณ์แบบ ต้องทำใจเอาไว้ยอมรับได้ว่า สิ่งที่เราตั้งใจไว้อาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ หรือไม่เป็นไปดังที่ใจเราคาดหวัง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ การทำใจยอมรับความบกพร่องได้จะช่วยให้เราไม่เครียด ไม่ทุกข์ ไม่ผิดหวังมากจนเกินไป

-ฝึกมองหาประโยชน์จากอุปสรรค เพื่อสร้างความรู้สึกดี ๆ ที่จะเป็นพลังให้เกิดสิ่งดี ๆ อื่น ๆ ต่อไป

-ฝึกสร้างทัศนคติที่ดี หามุมมองที่ดีในเรื่องที่เราไม่พอใจ (แต่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้) มองปัญหาให้เป็นความท้าทาย ที่เราจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อสร้างพลังและแรงจูงใจให้ผ่านพ้นปัญหานั้น ๆ ไปได้

- หมั่นสร้างความหมายในชีวิต ด้วยการรู้สึกดีต่อตัวเอง นึกถึงสิ่งที่สร้างความภูมิใจ และ

พยายามใช้ความสามารถที่มีทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ

น้อย ๆ ให้กำลังใจตนเอง คิดอยู่เสมอว่าเราทำได้ เราจะทำและลงมือทำ

4) รู้อารมณ์ผู้อื่น

การรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น และสามารถแสดงอารมณ์ตนเองตอบสนองได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะกับคนที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย จะช่วยให้เราสามารถอยู่ร่วมหรือทำงานด้วยกันได้อย่างดี และมีความสุขมากขึ้น

-อ่านอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น จากสิ่งที่สังเกตเห็นว่าเขากำลังมีความรู้สึกใด โดยอาจตรวจสอบว่าเขารู้สึกอย่างนั้นจริงหรือไม่ด้วยการถาม แต่วิธีนี้ควรทำในสถานการณ์ที่เหมาะสม เพราะมิฉะนั้น อาจดูเป็นการวุ่นวาย ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นได้

-ทำความเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของบุคคล เรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา ว่าถ้าเราเป็นเขา เราจะรู้สึกอย่างไร จากสภาพที่เขาเผชิญอยู่ แสดงความเห็นอกเห็นใจ ให้กำลังใจ เมื่อผู้อื่นกำลังมีปัญหา

5) รักษาความสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน

การมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน จะช่วยลดความขัดแย้ง และช่วยให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์

-ฝึกการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่น ด้วยการเข้าใจ เห็นใจความรู้สึกของผู้อื่น

-ฝึกการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน ฝึกการเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี และไม่ลืมที่จะใส่ใจในความรู้สึกของผู้ฟังด้วย

-ฝึกการแสดงน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักการให้และรับ

-ฝึกการให้เกียรติผู้อื่นอย่างจริงใจ รู้จักยอมรับในความสามารถของผู้อื่น

-ฝึกแสดงความชื่นชม ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ตามวาระที่เหมาะสม

ความรู้สึกแหละความคิดและประสบการณ์ที่ได้จากการทำโครงงาน

1 อะไรเป็นสาเหตุให้การปฏิบัติของข้าพเจ้าบรรลุผลสำเร็จหรือล้มเหลวข้าพเจ้าเองคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะทำธุรกิจการเปิดอู่ซ่อมรถยนต์ของข้าพเจ้าจะประสบความสำเร็จได้ทุกสิ่งทุกอย่างทีเพื่อนเขามีแหละเคยคิดทะนงตัวเองว่าจะต้องทำได้แต่ไม่เคยคิดถึงอนาคตที่มันจะเปลี่ยนแปลงในภาวะเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันว่ามันจะเกิดปัญหาได้ขนาดนี้แหละผลของทีเราเอาแต่ใช้อารมณ์ของตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ฟังเหตุผลแหละทะเยอทะยานให้ไปถึงจุดหมายและเป้าหมายที่วางไว้มันล้มเหลวโดยสิ้นเชิงเมื่อผมได้มีโอการมาเรียนรู้การเขียนแบบเสนอโครงงานพัฒนาบุคลิกภาพ(วิชาการรู้จักตนเอง)ผมเองจึงได้เรียนรู้หลักแหละการปฏิบัติและการเปลี่ยนแปลงตนเองได้ดีมากยิ่งขึ้นสำหรับการทำงานโครงงานนี้

2 หลักและแนวคิดต่างๆที่ได้เรียนรู้มีส่วนอย่างไรต่อการปฏิบัติโครงงานเพื่อการเปลี่ยนตนเองนี้

เริ่มตั้งคำถามกับตัวข้าพเจ้าเองว่าสิ่งที่ผ่านมาในอดีตแหละสิ่งทีเรากระทำผ่านไปแล้วนั้นมันผิดหรือถูก

ตัวข้าพเจ้าเองได้ตอบคำถามเลยว่า มันผิดมากครับ ในเมื่อสิ่งเราทำไปแล้วเห็นว่ามันผิดแล้วเราจะมาเริ่มใหม่อีกไม่ได้แล้วหรือในการทีเราจะลดความทะเยอทะยานลดอารมณ์ ความโกรธ ความเกลียดแหละหันหน้าเข้ามาหากันเพื่อเริ่มตั้งต้นแหละเริ่มการปรับตัวการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของตัวข้าพเจ้าเองและอารมณ์ของข้าพเจ้าและของครอบครัวและบุคลรอบข้างและเมื่อตัวของข้าพเจ้าได้ปรับเปลี่ยน อารมณ์ความโกรธก็ทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าและครอบครัวมีความรักความเข้าใจมากยิ่งขึ้นเรามีน้อยก็ใช้น้อยยอมรับสภาพ

ความเป็นอยู่ไม่คิดอะไรให้มันกว้างมากเกินไปพยามใช่ความรอบคอบคิดก่อนที่จะทำแล้ววางแผนอนาคต

ทีจะเดินต่อไปแล้วก้าวไปในวันข้างหน้า

3 ข้าพเจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างทั้งก่อนปฏิบัติในขณะปฏิบัติเละหลังจากโครงงานสิ้นสุดลงแล้ว

ในขณะทีข้าพเจ้าไดเริ่มทำโครงงานนี้ข้าพเจ้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าข้าพเจ้าทำโครงงานนี้สำเร็จหรือไม่

แต่ข้าพเจ้าได้มาเจอปัญหาของชีวิตในการทำธุรกิจเปิดอู่ซ่อมรถตัวของข้าพเจ้าหาเงินไม่ได้ตามเป้าหมาย

ทีวางไว้การเงินแหละครอบครัวมีปัญหาเละขัดแย้งกับข้าพเจ้าไม่เคยคิดที่จะแก้ปัญหาที่จะหาทางออกของตัวข้าพเจ้าเองเป็นอย่างเดียวไม่เคยนึกถึงครอบครัวเละบุคคลรอบข้างว่าข้าพเจ้ายังมีทีจะขึ้นไปทำงานที่

กรุงเทพสามารถที่จะทำงานได้โดยโทรไปหาเพื่อนทีอยู่ที่กรุงเทพเพื่อนก็ตอบตงลงว่าขึ้นมากทมเมื่อรัยมีงานทำทันทีในตำแหน่งหน้าที่ผู้จัดการดูแลศูนย์บริการของ ACT แต่แหละแล้วตัวข้าพเจ้าแหละครอบครัวได้มานั่งปรึกษาว่าจะทำอย่างรัยแหละแล้วเราสองคนก็สามรถก็สามรถแก้ปัญหาแหละหาทางออกได้ของชีวิตได้โดยไม่คิดที่จะไขว่คว้าทีจะไม่ขึ้นไปทำงานในกรุงเทพแหละทิ้งครอบครัวเพื่อไปอยู่ตามลำพังแหละตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้และเวลาทีทำโครงงานนี้ตัวข้าพเจ้าเองมีความรอบคอบและปรับปรุงบุคลิกอุปนิสัยของตัวเองได้ดีมากยิ่งขึ้นชีวิตของข้าพเจ้าและครอบครัวอยู่กันอย่างมีความสุขไม่ทะเลาะกันเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น

ข้าพเจ้า ขอขอบคุณ อาจารย์ กฤษณา ภาษยะวรรณ์ แหละเพื่อนๆทุกคนที่ช่วยเป็นแนวคิดถึงพวกเราจะมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันมีความคิดที่แตกต่างแต่พวกเราก็อยู่รวมกันได้อย่างมีความเข้าใจกันมากยิ่งขึ้นสำหรับโครงงานพัฒนาบุคลิกภาพและการพัฒนาตัวเองแหละการรู้จักตนเอง

4 ขณะที่ทำโครงงานนี้ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับข้าพเจ้าได้ทีหรือแสดงท่าทีและความเห็นต่อข้าพเจ้าอย่างไร

-มีความพึงพอใจต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของข้าพเจ้า จากที่เคยโมโหฉุนเฉียว ก็มีการสงบสติอารมณ์มากขึ้น

-ลดการปะทะคารมย์กันมากขึ้น

-ความรู้สึกเปลี่ยนไป ว่าเป็นไปได้อย่างไรถ้าเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกก็น่าจะดี

-เดี๋ยวนี้เวลาจะไปไหนทำไมถึงให้ไปด้วยเมื่อจะไปไหนก็ไม่ให้ไป

-เวลาจะทำอะไรก็มานั่งปรึกหารือ

5 ข้าพเจ้ามีแบบแผนที่จะทำอะไรต่อไปหรือไม่อย่างไรและหากมีผู้นำโครงงานในเรื่องลักษณะนี้

ข้าพเจ้ามีข้อเสนอแนะต่อตนเองดังนี้

ข้าพเจ้าจะทำโครงงานนี้ตลอดไปและปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพของตัวขาเจ้าเองและจะปฏิบัติตัวอย่างนี้

แหละใช้ชีวิตกับครอบครัวทีมีความรักความอบอุ่นแหละเข้าใจปรับปรุงบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยของตัวข้าพเจ้าเองให้ดีขึ้นมากกว่านี้

ถ้าหากว่ามีผู้ต้องจัดทำโครงงานในลักษณะนี้ ข้าพเจ้าจะแนะนำและเอาความรู้ที่มีจากการเรียน ที่ได้รับจากอาจารย์ กฤษณา ภาษยะวรรณ์ จะเอารูปแบบและแนวความคิด ในทางที่ดี ไปแนะนำผู้อื่น โดยบอกเล่าความจริงที่เราทำมาทั้งหมด และผลที่ได้รับจากการทำโครงการนี้

รายละเอียดข้อเสนอโครงงาน

1.ชื่อโครงงาน ความร้าวฉานในอารมณ์ ลดแล้วซึ่งความโกรธ

2.ชื่อผู้เสนอโครงงาน นายพิเชษฐ์ ศรีสดใส รหัส 3860300011111

3.ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน /ผู้ทรงคุณวุฒิ นางกฤษณา ภาษยะวรรณ์

4.ความเป็นมาของโครงงาน

4.1 บุคลิกที่ดีๆ ที่ข้าพเจ้าอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง

การมีความรอบคอบในการตัดสินใจและระงับอารมณ์ความโกรธและความใจร้อนให้มากกว่าที่เป็นอยู่

4.2 ข้าพเจ้าพบว่าตัวเองมีบุคลิกภาพประเภท กระทิง (ระบุสัตว์ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์) ซึ่งจัดอยู่ในธาตุไฟ ข้าพเจ้ามีจุดแข็งคือ เป็นคนที่มีความคิดอยากจะทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้ โดยไม่ง้อบุคคลรอบข้าง ถึงแม้จะมีใครตักเตือนก็ไม่ฟัง คิดว่าจะทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้ โดยไม่คำนึงว่าส่งที่เราทำไปแล้วจะเกิดปัญหาตามมาภายหลัง สิ่งที่มีอยู่แล้วก็ไม่พอ อยากได้โน่นอยากได้นี่ คิดว่าเมื่อได้แล้วข้าพเจ้าจะทำได้ตามที่ข้าพเจ้ามุ่งความหวังไว้อย่างสำเร็จ โดยไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนว่ามันจะนำพาสิ่งที่เราต้องการนั้นไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่

แต่ก็มีจุดอ่อนคือ เป็นคนที่เมื่อโกรธแล้วจะหายโกรธเร็วและพยายามรับฟังเหตุผลส่งที่บุคคลรอบข้างพูดตักเตือนแล้วนำมาปรับปรุงตัวเองบ้าง ในช่วงเวลาที่หายโกรธ แต่หลังจากนั้นไปแล้วสักเดือนหรือสองเดือน ก็มีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงตนเองแบบเดิมอีกเช่น ตัวอย่างเช่น

มีรถยนต์อยู่แล้วสองคัน คือ รถกระบะ กับรถเก๋ง ซึ่งใช้กันคนละคันกับภรรยา ซึ่งมีหนี้อยู่ไม่มากก็จะผ่อนหมดแล้ว ไปเห็นรถหรูที่เขาออกใหม่ เช่น ฟอร์จูนเนอร์ และ ปาร์เจโร่ เห็นเขาขับผ่านหน้าบ้านทุกวัน ประกอบกับตนเองเปิดอู่ซ่อมรถยนต์ ทำให้นึกอย่างได้อย่างใจจดใจจ่อ อยากเป็นเจ้าของ จึงทำให้มีความพยายามโดยการตัดสินใจขายรถทั้งสองคัน ขายปืน อะไรที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ในขณะนั้นก็ทำหมดเพื่อต้องการให้ได้เงินเพียงพอมาดาวน์รถคันใหม่ซึ่งเป็นรถหรู และต้องใช้เงินจำนวนมาก จนประสบผลสำเร็จได้รถหรูมาครอบครอบ เป็นรถมิตซูบิชิ ปาเจโร่

4.3 สิ่งหรือเหตุการณ์ที่บ่งชี้ว่าข้าพเจ้ามีลักษณะหรือเป็นแบบในข้อ 4.2 คือ

มีหลายครั้งหลายคราวที่ตัวข้าพเจ้าทำในสิ่งที่ตัวข้าพเจ้าคิดเอง และไม่ฟังคำกล่าวตักเตือนหรือคำวิจารณ์ของคนรอบข้าง และก่อให้เกิดความผิดพลาดในตัวข้าพเจ้า ที่ไม่สามารถย้อนอดีตกลับไปเริ่มต้นใหม่ได้ และข้าพเจ้าคิดว่า เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่อยากให้เกิดกับตัวข้าพเจ้าอีก และอยากให้สมาชิกในครอบครัวและตัวข้าพเจ้าเองมีชีวิตที่ดีขึ้น และอยู่แบบสงบสุข พออยู่พอกิน และพอเพียง

4.4 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงทำโครงงานนี้ เพื่อให้จุดอ่อนในข้อ 4.2 ของข้าพเจ้าลดลง โดยได้คิดคำขวัญหรือ ปณิธานสำหรับตนเองเพื่อการนี้ว่า

ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา จงบินเอาเท่าที่จะบินไหว

ถ้าจะบินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แค่บินไกลให้ถึงฝันเท่านั้นพอ

5.จุดประสงค์เฉพาะของโครงงานของข้าพเจ้าคือ (เขียนให้สัมพันธ์กับข้อ 4.3 โดยเขียนสิ่งหรือเหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจงที่จะบ่งชี้สภาพที่ตรงกันข้ามหรือเปลี่ยนแปลงไปจากข้อ 4.3 เพื่อใช้ในการประเมินโครงงาน)

คิดที่จะทำอะไรให้ประสบผลสำเร็จ และคิดที่จะทำได้เหมือนคนอื่น เขาต้องย้อนกลับมาดูตัวเราก่อนและพยายามฟังบุคคลในครอบครัวและจะไม่เป็นคนที่มีอารมณ์และจิตใจที่รุนแรงอีกต่อไป

6.เริ่มดำเนินการวันที่ ถึงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 ถึงวันที่ 25 เมษายน 2558

และโครงงานนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ดีๆ สำหรับวันที่ดี ๆ ที่เกิดขึ้นในเดือนแห่งความรัก คือ

รักตัวเองและครอบครัว

7.ประโยชน์ที่ข้าพเจ้าคาดว่าจะได้รับจากโครงงานนี้ คือ (ไม่ใช่วัตถุประสงค์ที่ต้องการ แต่เป็นผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เช่น ความรัก ความสามัคคีในครอบครัว ในที่ทำงาน)

8.งบประมาณที่ใช้ (ถ้ามี) (ไม่มี) บาท

แหล่งที่มาของงบประมาณ - ไม่มี-

หมายเลขบันทึก: 591054เขียนเมื่อ 13 มิถุนายน 2015 16:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2015 16:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท