ผู้นำแบบผู้รับใช้
Servant Leadership
พันเอก มารวย ส่งทานินทร์
นำมาจาก Servant Leadership ประพันธ์โดย Vic Sassone , ICE Leadership President, U.S. Leadership, Inc. และจาก Wikipedia ในหัวข้อ Robert K. Greenleaf and the modern servant leadership movement.
ผู้ที่สนใจเอกสารแบบ PowerPoint (PDF file) สามารถศึกษา และ download ได้ที่ http://www.slideshare.net/maruay/servant-leadership-31241502
การแบ่งประเภทของผู้นำแบบง่าย ๆ มี 3 ประเภทคือ แบบใช้อำนาจเด็ดขาด (autocratic) แบบมีส่วนร่วม (participative) และแบบไม่ยุ่งเกี่ยว (laissez-faire) ส่วนผู้นำแบบผู้รับใช้ (Servant leadership) มีส่วนคล้ายกับผู้นำแบบมีส่วนร่วม คือเป็นผู้ช่วยเหลือให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้พัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ มีการมอบอำนาจให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ทำให้บุคลากรเกิดความพึงพอใจ และมีผลงานที่ดี
คุณสมบัติของผู้นำแบบผู้รับใช้
ประวัติศาสตร์ของผู้นำแบบผู้รับใช้ ในสมัยโบราณ มีแนวคิดเช่นนี้คือ ในคำภีร์ เต๋า เต้อ จิง (Tao Te Ching) โดยเล่าจื้อ (Lao-Tzu) กล่าวถึงผู้นำว่า ผู้นำที่ดีที่สุด คือประชาชนไม่รู้สึกว่าถูกปกครอง รองลงไปคือผู้ที่ประชาชนรักและยกย่อง ที่แย่คือผู้ที่ประชาชนหวาดกลัว ที่แย่ที่สุดคือผู้ที่ประชาชนเหยียดหยามและไม่เชื่อฟัง
Chanakya แต่งตำราอรรถศาสตร์ (Arthashastra) ไว้ว่า ผู้นำที่ดีดูจากความพอใจของผู้ติดตาม ส่วนในศาสนาคริสต์ กล่าวว่า พระเยซูสอนเหล่าสาวกว่า ใครต้องการเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ให้ทำตนเป็นผู้รับใช้ แม้แต่พระองค์เองก็ปฏิบัติตนเช่นนั้นและยอมเสียสละชีวิตเพื่อเป็นค่าไถ่ให้กับบุคคลอีกมากมาย และในศาสนาอิสลาม กล่าวว่า ผู้นำคือผู้ที่ยอมรับใช้ปวงชน (the leader of a people is their servant)
ข้อดีและข้อเสียของผู้นำแบบผู้รับใช้
Servant Leadership ในยุคปัจจุบัน เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1970s เมื่อ Robert K. Greenleaf ประพันธ์เรื่อง The Servant as Leader ที่เขาระบุว่า: ผู้นำแบบผู้รับใช้ (servant leader) เป็นผู้ที่ปรารถนาช่วยเหลือผู้อื่นก่อน จากนั้นจึงเลือกที่จะนำ การดูแลความต้องการสูงสุดของผู้อื่นก่อน เป็นสิ่งที่ผู้นำแบบ servant leader ให้ความสนใจเป็นลำดับแรก ตรงกันข้ามกับผู้ที่ต้องการเป็นผู้นำก่อน
การพัฒนาบุคคล ผู้นำแบบ servant leader เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การพัฒนาคน (growing people) เป็นการนำโดยใช้แรงจูงใจ ชี้นำ และปรับเปลี่ยนผู้อื่น เพื่อตอบสนองความต้องการของเขาทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณ ความต้องการทางจิตวิญญาณ (spiritual needs) หมายถึงแรงจูงใจ ความท้าทาย และการให้กำลังใจ ความต้องการทางร่างกาย (physical needs) หมายถึงผลรวมของทักษะ ความรู้ และทรัพยากร
ผู้นำแบบจิตวิญญาณ มีคำที่กล่าวถึงผู้นำอีกลักษณะหนึ่ง คือผู้นำแบบจิตวิญญาณ (Spiritual Leadership) ที่เป็นผลงานของ Dr. Louis (Jody) Fry ศาสตราจารย์ ด้านการบริหารและการนำ มหาวิทยาลัย Tarleton State University in Killeen มลรัฐ Texas กล่าวว่า: ผู้นำแบบจิตวิญญาณประกอบด้วย ค่านิยม ทัศนคติ และพฤติกรรม ที่เป็นแรงจูงใจจากภายในตนเองและผู้อื่น ทำให้เกิดผัสสะของจิตวิญญาณร่วมกัน ส่งผลให้เกิดความมุ่งมั่นและมีผลผลิตที่ดีขึ้น
Spiritual Leadership เกี่ยวข้องกับ: การสร้างวิสัยทัศน์ของผู้นำร่วมกับสมาชิก ทำให้รู้สึกถึงเสียงเรียกร้องที่มีความหมายของชีวิต ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นการสร้างวัฒนธรรมที่เห็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเป็นหลัก ด้วยความหวังและความศรัทธา ที่บุคคลเกิดความรู้สึกร่วมในเป็นสมาชิก มีความเข้าใจและซึ้งใจ รู้สึกได้ถึงการได้รับการดูแลที่ดี และความห่วงใย จากผู้นำ
พื้นฐานของผู้นำแบบผู้รับใช้
ปรัชญาของ Greenleaf
ส่วนประกอบเสริมของผู้นำแบบผู้รับใช้
สรุป ผู้นำแบบผู้รับใช้ (Servant Leadership) ตรงกับค่านิยมและแนวทางของการมุ่งสู่ความเป็นเลิศคือ การนำองค์กรอย่างมีวิสัยทัศน์ การเรียนรู้ขององค์กรและบุคคล และการให้คุณค่าต่อบุคลากรและพันธมิตร (Visionary Leadership, Organizational and Personal Learning, and Valuing Workforce Members and Partners) การนำองค์กรสู่ความเป็นเลิศ สามารถใช้แนวทางการนำองค์กร โดยปรัชญาและการปฏิบัติของ Servant Leadership
**********************************************
ผู้นำดี ผู้ตามเป็นนักเรียนรู้ องค์กร ย่อมพัฒนา ครับ