ศิลปะการประพันธ์กับชีวิตข้าพเจ้า
ภาสกร บาลไธสง ผู้เรียบเรียง
อีกถ้อยทำนองใจ ที่ฝากไว้ในบทกวี
เพลงกานท์ผ่านวลี เรียงร้อยรสร่วมสมัย
กลั่นถ้อยน้ำคำทิพย์ แต่งแต้มขลิบคุ้งหทัย
ส่องมืดสว่างใส แด่ผู้ใฝ่จรุงศิลป์
ต่างฟ้าห่มฟ้ากว้าง หลากเส้นทางศิลปิน
เจนจบในจิตจินต์ สู่กวินวิญญูชน
จรรโลงสังคมรุ่ง ฤาจักมุ่งเพียงแต่ตน
ปลุกจิตปุถุชน ให้กระจ่างบนทางทอง
ด้วยคำอันล้ำค่า ด้วยลีลาภาษาสมอง
ทุกถ้อยที่ร้อยกรอง ล้วนกลั่นเกลาให้เข้าใจ
นี่คือสุนทรียะ ศิลปะละมุนละไม
เทิดค่าภาษาไว้ อยู่คู่ไทยให้นิรันดร์
( สุกรณ์ บงไทสาร (นามปากกา), ถ้อยวลีมีอารมณ์ : Gotoknow )
หากจะตั้งคำถามว่า “ ข้าพเจ้ามีความรู้ในเรื่องใดมากที่สุด...? ” ข้าพเจ้าคงระบุเรื่องๆ นั้นแบบฟันธงเลยทีเดียวคงเป็นไปไม่ได้ เพราะความรู้ไม่มีที่สิ้นสุดต้องอาศัยเวลาและความอดทนในการแสวงหา แต่หากเป็นความสามารถหรือความชอบส่วนบุคคลแล้วคงหนีไม่พ้นในเรื่อง “การเขียนคำประพันธ์” ประเภทต่างๆ ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง มันถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของข้าพเจ้าไปเสียแล้ว ตั้งแต่เข้าเรียนระดับชั้นประถมศึกษา
ข้าพเจ้าชอบผลงานด้านศิลปะทุกแขนงไม่ว่าจะเป็นภาพวาด ภาพถ่าย การฟังเพลง หรือแม้กระทั่งบทกวีก็ตาม เมื่อข้าพเจ้าได้สัมผัสก็รู้สึกถึงความสุขแบบลึกๆ ที่ศิลปินต้องการกลั่นกรองเรียงร้อยเพื่อถ่ายทอด มันคือสุนทรียะแห่งธรรมชาติที่ถูกนำมาเรียบเรียงอย่างเป็นระบบระเบียบในลีลาของศิลปินแต่ละคน ฉะนั้นศิลปะแต่ละแขนงจึงสามารถบอกอัตลักษณ์ของศิลปินผู้ถ่ายทอดได้เป็นอย่างดี
บทกวีเป็นงานเขียนที่ข้าพเจ้าชอบตวัดปากกาขีดเขียนในเวลาว่างอยู่เนืองๆ หนึ่งอาจสนองอารมณ์ในห้วงเวลานั้นๆ ที่ว่างจากกิจใดๆ หรือสองเพื่อบันทึกเรื่องราวตามที่ตนประสบพบเห็นขณะเดินทางทัศนาประสบการณ์ และสามอาจเขียนผลึกความคิด คมธรรม ที่เป็นบทเรียนแก่ชีวิตขณะได้รับคำสอนจากญาติผู้ใหญ่ สิ่งเหล่านี้วนเวียนไปมาอยู่ในจิตและถูกกระทำทุกครั้งจนลืมไปว่า “เวลาส่วนหนึ่งของเราที่แท้อยู่ที่ปากกาและสมุดบันทึกเล่มเล็กๆด้วยนี่เอง”
เริ่มต้นจาก คุณพ่อเป็นคนชอบฟังเพลง อยู่ที่บ้านนอกตอนเช้าๆ ขณะที่คุณพ่อลุกจากที่นอนไปนึ่งข้าวเหนียว ทำอาหารในครัว ข้าพเจ้ามักจะได้ยินเสียงเพลงเก่าๆ( แม่ไม้เพลงไทย ) ดังมาจากวิทยุในห้องครัวทุกครั้ง ดนตรีของมันช้าๆ เนิบๆ ผสานเสียงร้องที่ฟังแล้วเหมือนจะกล่อมให้เราหลับใหลต่อไป ข้าพเจ้าได้ฟังทุกวัน
จากหลายศิลปิน จนชอบในลีลาการใช้ภาษาที่ให้ภาพพจน์ และตั้งคำถามให้กับตนเองว่า “ทำไมเมื่อเราได้ยินบทเพลงถึงทำให้เรามีความสุข และติดตรึงเข้าไปในภาพที่นักร้องกำลังขับขาน รู้สึกสนุก รู้สึกเศร้า รู้สึกวังเวง รู้สึกคิดถึง ตามบทเพลงถ่ายทอด เพราะดนตรีทำนอง ภาษาที่ใช้เขียน หรือ เป็นศิลปะการประพันธ์ของผู้แต่ง ที่โน้มน้าวให้เราคล้อยตาม
เมื่อเริ่มเห็นความงาม หรือสุนทรียภาพทางด้านภาษา ข้าพเจ้าก็เริ่มจับปากกาฝึกฝนหาคำคล้องจองเป็นประจำ และในรายวิชาภาษาไทยคุณครูจะให้เขียนกลอน เขียนกาพย์ เขียนโคลงอยู่เนืองๆ เพื่อให้นักเรียนเกิดทักษะ เกิดจินตนาการและสมาธิ คุณครูชื่นชมในผลงานของข้าพเจ้าอยู่บ่อยครั้งจนทำให้ตัวเองมีความมั่นใจในการเขียน คือเขียนแล้วมีคนอ่าน เขียนแล้วมีคนชอบ จนกระทั่งข้าพเจ้าถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนนักเรียนฝึกซ้อมการแต่งคำประพันธ์เพื่อเตรียมเข้าแข่งขันร้อยกรองชิงโล่พระราชทาน ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม การฝึกซ้อมเป็นไปอย่างเข้มข้นและขยันขันแข็ง ครูผู้ฝึกซ้อมก็ทุ่มเทอย่างเต็มกำลังใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนกับการนั่งขีดเขียนฝึกซ้อมในเวลาว่างพักเที่ยง และหลังเลิกเรียนทุกวัน จนกระทั่งเมื่อยล้าสมองจวนจะคิดคำใดไม่ออก การเขียนเพื่อส่งให้คุณครูอ่านแก้ไขทุกครั้ง ข้าพเจ้ามักจะได้คำว่า “พอใช้”กลับมา จนทำให้เรารู้สึกว่าทำไมเขียนไม่ได้ดีสักที จนบางครั้งรู้สึกท้อ
และวันแห่งการรอคอยก็มาถึงเมื่อข้าพเจ้าได้ลงสู่สนามการแข่งขัน นอกจากเราจะไม่ตื่นเต้นกับเพื่อนต่างโรงเรียน เรากับรู้สึกท้าทายร้อนวิชา จริงๆแล้วการฝึกฝนให้มาก เอาใจใส่ทุกรายละเอียดนี้ทำให้เราเกิดทักษะอย่างดีเยี่ยม ที่บอกว่า “ เมื่อยล้าสมองจวนจะคิดคำใดไม่ออก”กลับเป็นแหล่งคลังคำในการค้นหาคำศัพท์เช่นพจนานุกรมเล่มใหญ่ที่ถูกบรรจุในสมองพร้อมเปิดหา และวันนี้ก็เป็นวันแห่งชัยชนะของเรา ข้าพเจ้าได้รับรางวัลชนะเลิศการแต่งกลอนสดชิงโล่พระราชทาน ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นำความปลาบปลื้มยินดีมาสู่โรงเรียน และวันนี้นี่เองข้าพเจ้าจึงได้รู้จัก คำว่า “ พอใช้ ” ที่ครูสอนเป็นอย่างดี หากวันนั้นครูบอกว่าเราทำได้ดีแล้ว เราก็จะไม่กระเตื้องตนให้ฝึกฝนอยากได้ดี ฉะนั้นคำว่า “พอใช้” ที่ครูสอนข้าพเจ้ายังนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตจวบจนทุกวันนี้
แรงบันดาลใจและประโยชน์ที่ได้จากการฝึกตน ผนวกความชอบในวันนั้น ทำให้ข้าพเจ้ารักที่จะเรียนรู้ภาษาไทยให้มากยิ่งขึ้น เพราะภาษาไทยเป็นภาษาที่มีความอ่อนช้อยงดงามอยู่ในตัว ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดที่บ่งบอกวัฒนธรรมทางด้านภาษาได้อย่างแยบยล เสมือนภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่ได้จารึกวิถีชีวิตในคมภาษาผ่านอักษร และวันนี้ข้าพเจ้าก็ได้เลือกเส้นทางเดินตามใจชอบตามอุดมการณ์ของตนเอง คือ เป็นครูสอนวิชาภาษาไทย เป็นนักเขียนนิรนาม (เขียนเองอ่านเอง ) และมีความสุขที่ตนได้ทำงานที่ตนรัก ศิลปะการประพันธ์กับชีวิตข้าพเจ้า จึงเป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักตนเองและเลือกเดินได้อย่างถูกทาง คนเราจะทำสิ่งใดได้ดีนั้น ต้องทำงานที่เรารักและถนัดผลงานจึงจะปรากฏเป็นที่น่าชื่นชม และประโยชน์ที่ได้จากวิชาความรู้ดังกล่าวจะเป็นอื่นไปไม่ได้ในหน้าที่ของความเป็นครู ก็คือ ถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์อย่างเต็มภูมิรู้และเต็มกำลังเพื่อขับเคลื่อนกลไกลอนาคตของประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ง่ายงามสืบไป
ไม่มีความเห็น