ประสบการณ์ ๗ วันที่ฉันเดินไม่ได้


การรักษาตนเอง ตามหลักการแพทย์วิถีธรรม

๑๐ – ๑๖ สิงหาคม ปีที่แล้ว (๒๕๕๖) เป็นช่วงเวลาที่ฉันเดินไม่ได้ ฉันได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ภายใต้การช่วยเหลือจากมิตรดีสหายดีตลอดเส้นทาง จากสวนป่านาบุญ ๒ ชะอวด นครศรีธรรมราช สู่เมืองพล ขอนแก่น ชุมชนบุญนิยมอโศก สุรินทร์ และกลับมาพักฟื้นที่สวนป่านาบุญ ๑ ดอนตาล มุกดาหาร ด้วยเชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดในการระลึกถึงบุญคุณและตอบแทนบุญคุณของผู้มีอุปการะคุณทั้งหลายที่ให้ความช่วยเหลือทั้งทางด้านวัตถุและจิตใจกับฉันในช่วงนั้น คือการบอกเล่าประสบการณ์ที่ฉันได้รับจากการเจ็บป่วยครั้งนี้ แต่ก็สู้กับความขี้เกียจไม่ได้จนกระทั่งผ่านไป ๑ ปีเต็ม

อาการป่วย วันที่ ๑๐ สิงหาคม พอลุกจากที่นอนฉันก็เดินได้ช้ามาก ขาขวาที่โดนเขียงไม้มะขามขนาดใหญ่ (เขียงที่อยู่ในโรงครัวตามวัด) หล่นใส่เมื่อสองอาทิตย์ก่อนบวมแดงอย่างมากทั้งที่สองอาทิตย์ที่ผ่านมามีเพียงรูปที่เห็นว่ามีแผลและอาการเจ็บเมื่อกด ช่วงบ่ายของวันนั้นฉันมีไข้ และพอตอนเย็นเมื่อฉันยืนขึ้น ฉันมีความรู้สึกว่าทั้งเลือดและลมในร่างกายกำลังพยายามวิ่งกรูกันออกจากร่างผ่านทางแผลที่ขาขวา หัวใจเต้นแรงมาก เหมือนจะหน้ามืดแต่ถ้านอนจะไม่มีอาการใดๆเลย วันต่อมาแผลเปิดทุกแผลที่มี ไม่ว่าจะมีมาก่อน หรือเกิดจากผุดขึ้นเป็นสิวเม็ดเล็กๆ แล้วแกะ หรือระเบิดเอง มีหนองออกมาทั้งหมด สรุปมีแผลที่ นิ้วกลางขวา(แผลเก่า เอามือไปขูดกำแพง) นิ้วกลางซ้าย (แผลจากการดึงจมูกเล็บ) แผลที่ข้อพับแขนด้านใน ทั้งสองข้าง (แกะสิวเม็ดเล็กๆ) ขาขวา (เขียงหล่นใส่) นิ้วเท้าซ้าย และตาตุ่มซ้าย (รองเท้ากัด) น่องซ้าย หน้าแข้งซ้าย (สิวเม็ดเล็กๆ ที่อดทนไม่แกะแต่แตกเอง)

แผลที่โดนไม้มะขามหล่นใส่
อาจารย์หมอบอกว่า ให้ “ยินดีให้ได้ในทุกเหตุการณ์”
ดูจากอาการและบริเวณที่มีแผล สงสัยเขาอยากให้ฉัน “รู้พัก” แน่เลย

การดูแลด้านวัตถุ ( รู้สึกสบาย รู้สึกสบายบางส่วน รู้สึกไม่สบาย) (ท่านที่เวลาน้อย ข้ามส่วนนี้เลยค่ะ)

ดื่มน้ำคลอโรฟิลด์ผสมน้ำร้อนบ้าง น้ำตะไคร้บ้าง รู้สึกเฉยๆ

กัวซา บริเวณขาไม่ได้เจ็บมาก พี่ขวัญอาสาช่วยกัวซาหลังให้ ไม่นานก็ขอให้หยุดทำ คือรู้สึกดีที่บริเวณหลังแต่ครึ่งหน้า คือบริเวณหน้าอก ท้อง รู้สึกยะเยือก หนาวสั่น

โชคดีนะที่ผอม

ดีท๊อกซ์ พวกเราเชื่อในทฤษฎีฝากกันออกอย่างมาก เมื่อแผลเปิดทั้งหลายระบายความไม่สมดุลออกไม่ทันทางที่เร็วกว่าน่าจะเป็น ดีท๊อกซ์ พี่ติ๊กให้ฉันขี่คอเพื่อเข้าห้องน้ำทำดีท๊อกซ์ ช่วงนั้นเหมือนจะทำดีท๊อกซ์ทุกวัน แน่นอนทำดีท๊อกซ์แล้วรู้สึกว่าตัวเบาขึ้น แต่ มันแลกมากด้วยความเจ็บปวดอย่างมากตอนเคลื่อนย้าย จากความรู้สึกที่เลือด ลม ต่างๆจะพุ่งออกไปทางแผลที่ขาข้างขวาให้ได้ นอกจากนั้นทุกวันขาข้างขวาฉันต้องได้ชนกับวัตถุอะไรซักอย่าง มันเป็นไปได้ที่ ระวังจนเกร็งเกินทำให้กะระยะไม่ถูกเลยชน แต่มีอยู่วันหนึ่งฉันกำลังจัดแจงเอาเก้าอี้พสาสติกดันประตูห้องน้ำไว้ แทนการล็อกประตู ลมแรงมาก เหมือนประตูจะเปิด และด้วยอะไรสักอย่างฉันใช้ขาขวายันประตูไว้ สุดท้ายวันนั้นฉันไม่ทำ
ดีท๊อกซ์ แช่มือแช่เท้า ฉันได้แช่มือแช่เท้าในน้ำปัสสาวะอยู่เหมือนกัน แต่ ไม่ได้แช่นานนัก แม้ว่าที่ชะอวดช่วงนี้อากาศดี ลมพัดเย็นสบายตลอดเวลา แต่มันเกินไปสำหรับฉัน การแช่มือและเท้าทำให้ มือและเท้าฉันสบาย แต่ช่วงลำตัวหนาวสั่น

พอกทาด้วยว่านหางจรเข้

พอกทา จริงๆ ฉันค้นพบตั้งแต่วันแรกแล้วว่าจุดที่สบายที่สุดในการรักษาแผลของฉันคือ แค่เอาใบไม้ฤทธิ์เย็น เช่นผักบุ้ง ใบไชยา ใบตอง กาบกล้วย ฯลฯ มาวางปิดที่แผลสักพักใบไม้จะเหี่ยว เมื่อดึงออกจะมี น้ำ และหนองอยู่ที่แผล และใบไม้ แต่ด้วยใจที่อยากหายเร็ว ก็พอกด้วยอื่นๆเช่นถ่าน กากสมุนไพร ที่ฮิตกันในค่ายสุขภาพ ฉันจับไม่ได้ว่าบริเวณแผลดีขึ้นไหม รู้แต่ว่าเมื่อไหร่ที่พอกด้วยใบไม้ที่ตำ หรืออื่นๆที่ไม่ใช่ใบไม้ ช่วงบนของลำตัวฉันจะหนาวสะท้าน ต้องเอาน้ำร้อนแช่ตะไคร้ ไว้ข้างตัวแล้วนอนคลุมโปง อีกทั้งตอนล้างแผล แค่เช็ดก็เจ็บแล้ว ต่อจากนั้น ฉันเริ่มยอมรับที่จะทดลองพอกด้วยสมุนไพรใดๆ ที่เขาบอกว่าดี เมื่อมีการจัดหามาโดยไม่ปฎิเสธ ทั้งที่พี่ๆ จิตอาสาส่วนใหญ่รวมทั้งฉันเองก็รู้สึกว่ามันไม่น่าใช่คำตอบ แต่จิตใจฉันก็อยากลอง ผลคือไม่ว่าพอกด้วยสูตรไหนถ้าเท้าสบาย หรือเฉยๆ ช่วงบนจะหนาวสะท้าน แต่ถ้าเท้าร้อน หรือแสบ รู้สึกไม่ดี คือมีสมุนไพรฤทธ์ร้อนผสม ช่วงบนร่างกายจะ สบายส่วนทา ใช้ฉี่ในการล้างแผล ล้างยาพอกทั้งหลายแล้วทาไว้ ไม่มีอาการต้านใดๆ ที่แสดงว่าไม่ดี

ทำปาก๊วน พร้อมกับการหยอดหู

หยอด วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ เป็นวันที่พวกเราวางแผนจะเดินทางไปเมืองพล ขอนแก่น ฉันยังเดินไม่ได้ ฉันร้องขอให้พี่ๆ ทำปาก๊วนให้ พี่ๆรู้ว่ามันจะเจ็บมาก และมันไม่น่าจะใช่คำตอบ แต่สุดท้ายพี่ขวัญก็ฝืนใจทำให้ ก็ยังเป็นการทำเพื่อเยียวยาใจฉันอยู่ คือไม่ได้ทำแบบจัดเต็ม แต่แค่นั้นฉันก็เจ็บมาก อาการเลือดลมทุกอย่างที่เหมือนจะกรูกันออกที่แผลที่ขาข้างขวา รุนแรงเหมือนตอนยืนเลยทั้งที่นอนอยู่ ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวว่าต้องเปลี่ยนทิศทางการขับความไม่สมดุล จึงหยอดหู อาการที่ขาเบาลงนิดเดียว ฉันเลยหยอดหูไปเรื่อยๆ จนเกินพอดี หูชา และอื้ออยู่พักใหญ่ ทำปาก๊วนเสร็จ เหมือนเดิม เอาขาลงพื้นปุ๊ป เลือดลมพร้อมวิ่งออก พวกเราเลยเลื่อนแผนการเดินทางไปอีกวัน

กดเส้นม้ามที่ต้นขาขวา เหมือนสั่งได้
หนองไหลออกจากแผลที่ปลายเท้าทันที

อบ เป็นสิ่งที่ถูกกับฉัน ณ ตอนนั้นอย่างมาก ลมชิวๆ พัดตลอดเวลาที่ชะอวด ทำฉันหนาวสะท้านทุกครั้งที่ฉันลุกขึ้นนั่ง การนำแก้วใส่ตะไคร้สด ๑-๒ ท่อนมาแช่ในน้ำอุ่น มาวางข้างๆ ที่นอนแล้วคลุมด้วยผ้าห่ม มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนฉันไม่ป่วยเลย กดจุด สองวันแรกฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก เมื่อก่อนฉันไม่ค่อยมั่นใจว่าฉันกดจุด ลมปราณถูกจุดกับเขาบ้างไหม แต่การป่วยครั้งนี้ทำให้ฉันมั่นใจในเรื่องการกดจุด ลมปราณมากขึ้น สิวเม็ดเล็กๆ ที่ขึ้น ขึ้นตามจุดลมปราณเลย เส้นลมปราณทุกเส้นกดแล้วเจ็บหมด ฉันไม่ได้ใช้การกดจุดในการรักษาหรอก เพราะมันเจ็บ และมันเสี่ยงต่อการที่สิวจะแตกและกลายเป็นแผลที่มีหนองเพิ่มขึ้น

อาหาร วันที่ ๑๐ ทานอาหารแบบในค่ายสุขภาพ ส่วนวันที่ ๑๑-๑๖ สิงหาคม จัดเต็มอาหารนิพพานแบบหวานน้อย ข้าว เกลือ ผักสด ผัดลวก ผลไม้เล็กน้อย

การรักษาด้วยใจ (คำเตือน เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน )

จากการรักษาด้วยวัตถุข้างต้น ฉันเริ่มจะคิดได้ในวันที่สองว่า วิบากกรรมรอบนี้ของฉัน น่าจะจัดมาเพื่อให้ฉันเรียนรู้เรื่องของใจมากกว่ากาย รู้สึกว่าไม่มีความสะดวกสบายในการรักษาด้วยวัตถุ หรือถ้าทำได้ และทำได้ดี จะต้องมีอะไรมาทำให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม ฉันคิดว่าเขาต้องการให้ฉันใช้เวลาช่วงนี้ ปฎิบัติธรรมในอีกรูปแบบหนึ่ง ดูแลและทบทวนตัวเอง ทานอาหารสุขภาพไป เอาน้ำอุ่นมาวางข้างๆ เอาใบไม้วางไว้บนแผล และนอนดูใจตนเองไป เมื่อครบระยะเวลา ก็จะเดินได้เอง แต่โจทย์มันยากค่ะ ตลอด ๗ วันสิ่งที่ฉันต่อสู้มากที่สุดคือเรื่องใจที่เร่งผลอยากหายไว ถ้าให้ประเมินว่าผ่านไหม ตอบได้เลยว่าผ่านแบบลีลาไม่เข้าตากรรมการ

โจทย์ใหญ่ของฉันเรื่องของเวลา ตอนแรกฉันคิดว่าในวันที่ ๑๐ สค หลังจากเตวิชโช (ประชุมสรุปงานสรุปใจที่ชะอวด) จะไป ช่วยค่ายสุขภาพ ๓ วันที่สุราษฎร์ฯ วันที่ ๑๖ สค ฉันต้องอยู่ที่เมืองพล ขอนแก่น เพื่อเข้าเรียนครั้งแรกกับคุณหมอกระแส ชนะวงศ์ และวันที่ ๑๙ สค ฉันต้องอยู่กรุงเทพเพื่อพาพ่อไปตรวจตามที่หมอนัด สิ่งที่ฉันต้องการตอนนั้นคือทำยังไง พ่อฉันจะไม่รู้ว่าจู่ๆลูกสาวก็เดินไม่ได้ ฉันต้องไปปรากฎตัวให้พ่อเห็นในวันที่ ๑๙

กลวิธีหลักในการปรับสมดุลตามหลักการแพทย์วิถีธรรม มี ๔ กลวิธีหลัก ฉันใช้มันในการค้นหาว่าฉันควรทำอะไรดี

สมดุลร้อนเย็น จากที่ฉันเล่ามา คงพอที่จะสรุปได้ว่าฉันและเพื่อนๆ ก็ช่วยกันหาทางปรับสมดุลให้ฉันอยู่ แต่มันยังขาดๆ เกินๆ เพราะใจเร่งผลของฉันเอง

ละบาป การเดินไม่ได้ของฉันครั้งนี้ฉันลงทุนสูงมาก ที่ชัดเจนคือฉันใช้จิตอาสาเปลืองมาก มีจิตอาสา ๔ คนคือพี่เอ๊าท์ พี่ติ๊ก พี่ขวัญ ลินลี่ ต้องเปลี่ยนแผนการเดินทาง ซึ่งถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้พวกเรา ๕ คนจะได้บำเพ็ญกุศล และอาจช่วยผู้เข้าอบรมที่สุราษฎร์ได้ผ่อนคลายความทุกข์ ยังมีจิตอาสาในพื้นที่ เช่นป้านวม พี่โย ครูเลี่ยม ที่เข้ามาช่วยเหลือ ทั้งที่อาจจะได้ไปทำประโยชน์อื่นได้มากกว่า แต่ฉันพึ่งตนไม่ได้ สิ่งที่ควรทำคือ ยอมรับความช่วยเหลือ และหยุดคิดเรื่องนี้ไป รวมถึงลดการเบียดเบียนให้มากที่สุด

ลดการเบียนเบียนผู้อื่น ฉันไม่ทานเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากไข่ และนม และทานมื้อเดียวอยู่แล้ว อะไรที่ฉันสามารถทำเพิ่มได้ ที่ฉันคิดได้ ณ ตอนนั้นคือ ลดการเบียดเบียนเพื่อนๆ ด้วยการเรียกร้องให้น้อยที่สุด ทานอาหารเท่าที่เขาจัดให้ ในช่วงแรกฉันทำได้ดีทีเดียว เหมือนจะมีแค่น้ำร้อน เท่านั้นที่ฉันร้องขอ แต่ด้วยใจที่เร่งผล มันก็มีที่ฉันขอให้พี่ๆ ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ แต่พี่ก็ทำให้เพื่อรักษาใจของฉัน เช่นการทำปาก๊วน และอื่นๆ

ลดการเบียนเบียนตนเอง ลดความคิดที่คิดไปก็ไม่เป็นประโยชน์ ณ ตอนนั้น มีแต่ลดทอนพลังงานในการทำให้เซลล์แข็งแรงและมีพลังในการปรับสมดุลร่างกายของฉัน วันแรกฉันวนเวียนกับความคิดเรื่องพวกนี้เกือบทั้งวัน

  • ทำไมฉันเดินไม่ได้ เพราะเขียงหล่นใส่เมื่อสองอาทิตย์ก่อน เมื่อวานหนีเที่ยวกับเพื่อนๆที่ไม่สมควรไป เดินขึ้นเนิน ชันประมาณ ๗๐ องศา นั่งรถแบบขยับตัวไม่ได้ประมาณ ๒ ชั่วโมงท่ามกลางอากาศเย็น กินผลไม้มากเกินไป ทุเรียน มังคุด ลองกอง จำปาดะ วิบากกรรมของครอบครัว แม่ฉัน ป้าฉันก็ถูกขังให้นอนอยู่บนเตียงด้วยการเป็นอัมพฤต และอื่นๆ วนเวียนอยู่นั่นแหละ และถึงตอนนี้ฉันก็ยังตอบไม่ได้ ว่าทำไมฉันถึงเดินไม่ได้ แต่ตอนนั้นไม่มีพลังที่จะหยุดคิด
  • ทำยังไงฉันจะหาย มีอะไรที่ควรทำและยังไม่ทำบ้าง ฉันทำผิดวิธีไหม มีวิธีไหนที่ฉันลืมหรือเปล่า วนเวียนอยู่นั่นแหละ ทั้งที่ฉันโชคดีเจอวิธีที่ประหยัด เรียบง่าย และรู้สึกสบายตั้งแต่แรก แต่ก็คิดหาวิธีที่ดีกว่า สุดท้ายช่วงพักฟื้นหลังจากเริ่มเดินได้ ฉันก็กลับไปทำเท่าที่ตอนแรกฉันทำ
  • ฟุ้งซ่านเรื่องอื่นๆ ฉันใช้เวลาอยู่กับการนอนสมาธิ ซึ่งดูเหมือนมันจะมากกว่าเวลาที่ฉันใช้ในการเข้าหลักสูตรปฎิบัติธรรม ๗ วันที่ฉันเคยเข้าอีก พอได้ทำสมาธิต่อเนื่องจิตเริ่มละเอียด เริ่มสังเกตเห็นอาการเล็กๆ ทางกาย เช่นการปวดตามจุดนั้นจุดนี้ ความร้อนที่แตกต่างกันแต่ละที่ ตอนเข้าหลักสูตรปฎิบัติธรรม (เผาหลอก) ฉันชิวมากในการที่จะดูมันอย่างอุเบกขา เพราะรู้ว่าไม่ว่าจะปวดมากเท่าไหร่ แค่ลืมตา หรือขยับตัวมันก็หาย แต่ตอนนี้ (เผาจริง) ลืมตาแล้วมันยังเดินไม่ได้ เมื่อเห็นความปวด หรือความร้อนในสมาธิ จิตเริ่มปรุงต่อทันทีว่ามันจะเป็นสิว แล้วแตกเป็นแผลใหม่อีกไหม และอื่นๆ

ในวันแรกฉันก็รู้นะว่าไม่ควรคิดเรื่องเหล่านี้ แต่ไม่มีปัญญาและพลังในการตัดมัน คำบริกรรมเอาอยู่เป็นพักๆ เหมือนคนเพิ่งเริ่มทำสมาธิใหม่ๆเลยทีเดียว แตกต่างอย่างมากกับปกติที่ฉันเคยทำได้ วันที่สองฉันถึงเริ่มรู้ว่าฉันควรจะจัดการกับความคิดนี้อย่างไร ฉันเริ่มพิจารณาคุณและโทษของความคิดเหล่านี้ แต่คิดไม่ค่อยออก คิดได้แค่ว่ามันทำให้สูญเสียพลังงานและคิดไปมันก็ไม่มีประโยชน์ ฉันต้องกลับมาคิดเพื่อลดความกังวลของตนเองก่อน โดยการเปรียบเทียบแต่ละวิธีการรักษา ว่าอะไรที่มันทำให้เรา เบากาย มีกำลัง เป็นอยู่ผาสุก และที่ทำอยู่มัน ประหยัด เรียบง่าย แก้ปัญหาที่สาเหตุหรือยัง ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันควรทำมีอะไรบ้าง สิ่งเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขคือคลายใจที่เร่งผล แต่ถึงฉันรู้ แต่ฉันยังไม่มีพลังทำได้หรอก แต่อย่างน้อยพอได้ข้อสรุปเรื่องนี้ ความคิดที่แทรกเข้ามาเป็นระยะก็ใช้เวลาสั้นลงในการตัดออกไป
ประสบการณ์ข้างต้น บวกกับการที่พี่ๆเปิด MP3 ของคุณหมอให้ฟัง ทำให้ฉันคิดถึงป้า และผู้ป่วยที่อยู่ติดเตียงทั้งหลาย ที่จะมีเวลาอยู่กับกายใจตนเองอย่างยาวนาน โอกาสที่จะมีความคิดฟุ้งซ่านและมักเป็นลบแทรกเข้าทำให้เสียพลังงานในการรักษาตนเองมีมาก ฉันคิดว่า ฟังธรรม น่าจะช่วยได้ในยามที่ไม่มีพลังในการนั่งสมาธิ ทำวิปัสสนา

บำเพ็ญบุญ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ฉันซาบซึ้งกับคำว่า "กินด้วยใจที่รู้ค่า" วลีหนึ่งในบทพิจารณาอาหารอย่างมาก ฉันกินอาหารในค่ายสุขภาพอย่างอร่อยตั้งแต่มื้อแรก และไม่เคยรู้สึกว่าต้องฝึนสักมื้อ แม้แต่ในมื้อที่เป็นอาหารนิพพาน แต่การกินอาหารนิพพานแบบหวานน้อยด้วยการจำกัดปริมาณสารสีเหลือง (กล้วย ฟักทอง และข้าวโพด) เนื่องจากพวกเราเชื่อว่าถ้าทานหวานน้อยแผลจะมีโอกาสหายเร็วกว่า มันทำให้อาหารนิพพานช่วงนี้มีแต่สีขาว กับสีเขียว ก่อนที่ฉันจะกินมังสวิรัติ ฉันเป็นพวกผักใบเขียววิรัติ ฉันต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะกินอาหารนิพพานนี้อย่างเป็นสุข ด้วยการพิจารณาให้เห็นถึงประโยชน์ของอาหารที่จะนำไปสร้างพลังงานในการรักษาตนเอง ประโยชน์การการฝึกปฎิบัติเข้มในการลดการติดรูป และรสของอาหาร ข้อความในหนังสือเจริญชีพด้วยการก้าวฯ ของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่ฉันมีโอกาสอ่านเมื่อเดือนก่อนช่วยได้มากทีเดียว เพราะอาหารนิพพาน ที่ค่ายสุขภาพฯ ยังมีผักลวกไม่ใช่มีแค่ผักสด

อาหารนิพพาน จากหนังสือเจริญชีพด้วยการก้าวฯ โดยสมณะโพธิรักษ์
http://ebookasoke.blogspot.com/2012/06/blog-post_21.html

เพิ่มพูนใจไร้กังวล

ฉันรู้ว่าฉันเร่งผลฉันอยากหายเพื่อกลับไปหาพ่อในวันที่ ๑๙ โดยที่พ่อไม่รู้เรื่องที่ฉันเดินไม่ได้ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ช่วงเช้าฉันยอมรับความจริงแล้วว่าฉันอาจจะไม่ได้พาพ่อไปหาหมอในวันที่ ๑๙ ฉันโทรบอกน้องชาย และพ่อ ว่าตอนนี้ฉันเดินไม่ได้ ถ้าลงไปหาพ่อไม่ได้ ให้น้องชายพาพ่อไปแทน และฉันก็ไข้ขึ้นนอนรอเพื่อนๆ เลิกเรียนกับคุณหมอกระแส เพื่อเดินทางออกจากเมืองพล ขอนแก่นไปพักที่ชุมชนบุญนิยมอโศก สุรินทร์ พอไปถึงที่พัก ฉันรู้สึกว่าฉันเดินได้ และฉันก็เดินได้จริงๆ โดยไม่มีอาการเลือดลมวิ่งกรูกันไป ที่เท้า แต่ยืนหรือเดินนานไม่ได้ เท้าจะเริ่มบวมแดง

อาการเท้าที่บวมแดง เมื่อยืนหรือเดินนาน ยังเป็นไปอยู่อีกเดือนเศษ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการทำการงาน แต่ก็ยังมีวิบากแทรกระหว่างนั้น คือ ทำถาดตกใส่เท้าขวาตนเอง และการสะดุดขาตนเอง จับกบอยู่บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ที่เงยหน้าขึ้นไปมีแท็กซี่จอดอยู่ และหันทางขวามีรถเมล์จอดอยู่ไม่ห่างนัก ทำให้โหนกแก้มซ้าย และนิ้วโป้งขวาได้เลือด เพราะจะรีบขึ้นรถเพื่อมาบำเพ็ญบุญที่ค่ายสุขภาพในเดือนกันยายน ตอนหันหน้าไปทางขวาเจอรถเมล์ฉันคิดแวบหนึ่งว่าถ้าฉันไม่ตั้งใจที่จะขึ้นไปบำเพ็ญบุญฉันจะเป็นอย่างไร แล้วฉันก็ตอบตัวเองได้ทันทีว่าคิดไปก็เปลืองพลังงาน ฉันยิ้มกับตัวเองว่าอย่างน้อยฉันก็มีพัฒนาการในการตัดสิ่งที่ไม่ควรคิด

หมายเลขบันทึก: 573900เขียนเมื่อ 5 สิงหาคม 2014 15:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน 2014 21:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท