การดำเนินธรุกิจในยุคปัจจุบันที่มีความเป็นโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ที่เป็นผลมาจากการพัฒนาการติดต่อสื่อสาร การคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยีสารสนเทศน์ ซึ่งเป็นเหมือนการย่อโลกให้คนทั้งโลกเข้ามาอยู่ใกล้กันมากยิ่งขึ้น การทำธุรกิจในลักษณะนี้นั้นทำให้ผู้ประกอบธุรกิจทั้งหลายจะต้องประสบพบเจอ เกี่ยวพัน และได้ติดต่อสื่อสารกับคนหลากหลายรูปแบบ ซึ่งมนุษยเรามีความแตกต่างกันได้ในหลายรูปแบบ เช่น เพศ อายุ วัย สัญชาติ เชื่อชาติ เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือ ความต่างทางด้านประเพณีวัฒนธรรม วิธีทางการใช้ชีวิต แม้กระทั่งวิธีคิดในปัจจุบันสังคมได้มีการพัฒนาจากในอดีตไปมาก กล่าวคือในสมัยก่อนบุคคลอยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพาอาศัยกัน หากมีความจำเป็นหรือต้องการสิ่งของเครื่องใช้ใดก็จะใช้การเเลกเปลี่ยนสิ่งของต่อกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในการใช้เงินตราเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเกิดขึ้น อีกทั้งกระเเสโลกาภิวัฒน์ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในทุกๆด้าน ทั้งทางเทคโนโลยี ด้านเศรษฐกิจ และความต้องการของแต่ละคนก็เริ่มมากขึ้นตามมา จึงก่อให้เกิดการแสวงหาผลกำไรหรือผลประโยชน์เกิดขึ้น จนกลายมาเป็นสังคมธุรกิจ สังคมลักษณะนี้จะยึดถือผู้บริโภคว่ามีความต้องการสินค้าหรือบริการแบบใด โดยผู้ประกอบการหรือนักธุรกิจซึ่งเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตก็จะผลิตสินค้าออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และในการค้าจึงจำเป็นจะต้องมีการแข่งขันกันระหว่างผู้ประกอบการหลายราย เพื่อดึงดูดความสนใจให้ผู้บริโภคหันมาสนใจในสินค้าของตน ซึ่งการที่จะทำให้สินค้าเป็นที่สนใจได้นั้นต้องอาศัยการโฆษณาแก่ผู้บริโภค ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เกิดการโฆษณาที่อาจมีการนำเรื่องสีผิว เพศ และชาติพันธุ์เข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนบางกลุ่มได้ โดยผู้ซึ่งจัดทำโฆษณาอาจไม่ได้มีวัตถุประสงค์ไปในทางนั้น แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาเนื่องจากการมองข้ามในจุดเล็กๆ อาจนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งและความไม่พอใจในสังคมได้
สิทธิมนุษยชน (Human Rights)หมายถึง สิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความเท่าเทียมกันในแง่ศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์และสิทธิ เพื่อดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างในเรื่องเชื้อชาติ สีผิว เพศ อายุ ภาษาศาสนา และสถานภาพทางกายและสุขภาพรวมทั้งความเชื่อทางการเมือง หรือความเชื่ออื่นๆที่ขึ้นกับพื้นฐานทางสังคม สิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถถ่ายทอดหรือโอนให้แก่ผู้อื่นได้สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่ เกิดและการดำเนินธุรกิจก็อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนได้ ดังประเทศก็มีความพยายามที่จะให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องคำนึงถึง สิทธิมนุษยชนโดยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติก็ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ รับรองการก่อตั้งมาตรฐานตามความสมัครใจที่ชื่อว่า “UN Guiding Principles on Business and Human Rights”[vi] ซึ่งเป็นการแปลความกรอบนโยบาย “Protect Respect and Remedy Framework” ให้เป็นขั้นตอนวิธีการปฏิบัติเพื่อให้ภาคธุรกิจและภาครัฐเอาไปใช้ เนื้อหาสำคัญของเอกสารทั้งสองฉบับประกอบด้วยแนวคิดที่มองเห็นว่า องค์กรธุรกิจมีความรับผิดชอบต่อการเคารพ สิทธิมนุษยชน และรัฐบาลมีหน้าที่ต้องป้องกัน การละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยบุคคลที่ 3 ซึ่งรวมถึงองค์กรธุรกิจด้วย รวมทั้งควรสนับสนุนให้เหยื่อผู้ถูกละเมิดเข้าถึงช่องทางการเยียวยา ได้ดียิ่งขึ้นทั้งในและนอกกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจริงๆ ก็เป็นการอธิบายอำนาจและหน้าที่ภายใต้กรอบของกฎหมายระหว่างประเทศเดิมให้ ชัดเจนขึ้น และชี้ระบุความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับธุรกิจที่ต้องร่วมกันดูแลป้องกันการ ละเมิดสิทธิมนุษยชนให้เด่นชัดออกมา โดยสาระสำคัญที่แท้จริงซึ่งไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงคือ มาตรฐานแนวปฏิบัติข้อที่ 7 (หน้า 9) ซึ่งมีคำอธิบายมาตรฐานอย่างเป็นทางการระบุว่า ในยามสถานการณ์ขัดแย้งที่ “รัฐประเทศเจ้าบ้าน” ของการดำเนินธุรกิจนั้น ไม่สามารถทำหน้าที่ปกป้องสิทธิมนุษยชนให้กับประชาชนของตัวเองได้ ในกรณีของบรรษัทข้ามชาติ ให้ “รัฐประเทศต้นทาง” มีบทบาทต้องช่วยองค์กรธุรกิจและประเทศเจ้าบ้านดูแลให้บริษัทจากประเทศตนเอง ไม่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในขณะเดียวกันก็ให้ประเทศเพื่อนบ้านสามารถให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมได้ด้วย สิทธิมนุษยชนกับสังคมไทย. oknation. [Website] 2009 Jan www.oknation.net/blog/print.php?id=390434 http://www.thairath.co.th/content/382622. สืบค้นข้อมูลวันที่16พ.ค.2557
ไม่มีความเห็น