ละเมิดตามพจนานุกรมหมายถึง ล่วงเกินหรือฝ่าฝืนจารีตประเพณีหรือกฏหมายที่มีบัญญัติไว้ คือ การกระทำให้ผู้อื่นเสียหายโดยผู้กระทำไม่มีสิทธิที่จะกระทำเช่นนั้น
ละเมิดจัดอยู่ในกรณีการทำนิติกรรมกฏหมายโดยผลในทางกฏหมายเกิดข้นคำนึงถึงบุคคลผู้กระทำว่าได้เจตนาให้ผลเกิด แต่การกระทำที่ขัดต่อกฏหมายนั้นกฏหมายบัญญัติโดยคำนึงถึงตัวบุคคลได้รับความเสียหายจากการกระทำแต่ไม่คำนึงเจตนาของผู้กระทำ
ความรับผิดในกรณีละเมิดตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์มี ๓ หมวดตั้งแต่มาตรา ๔๒๐-๔๕๒ แต่หมวดที่เกี่ยวข้องสำหรับนักสื่อสารมวลชนเฉพาะหมวด ๑ ที่ว่าด้วยการรับผิดเมื่อละเมิด หมวด ๒ ค่าสินไหมทดแทนเมื่อละเมิด[1]
จากกรณีศึกษาในครั้งก่อนๆ ที่เกี่ยวกับชาวโรฮิงญา สามารถนำมาเป็นตัวอย่างได้อย่างชัดเจน
โดย ประเทศพม่ามองว่าพวกโรฮิงญาไม่มีความจงรักภักดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชาวโรฮิงญาบางคนต้องการสร้างรัฐอิสระขึ้นทางอะรากันตอน เหนือ และผนวกเข้ากับปากีสถาน ต่อมาในปี พ.ศ. 2491 กองทหารพม่าออกปฏิบัติการกวาดล้างพวกนี้ หมู่บ้านหลายร้อยแห่งถูกเผาและคนหลายพันคนถูกฆ่า ทำให้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมหาศาลอพยพหนีไปยังบริเวณที่เป็นปากีสถานในขณะนั้น” และ นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการที่เจ้าหน้าที่ทางการพม่าพยายามจะข่มขวัญและขับไล่ พวกโรฮิงญาในครั้งต่อ ๆ มาอีก
นอกจากการสังหารโหดหลายพันคนแล้ว ชาวโรฮิงญามากมายยังต้องตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์อีกด้วย โดยขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา เริ่มต้นจากการรับจ้างนำออกจากประเทศพม่าเข้ามายังฝั่งไทย คิดค่าหัวตั้งแต่ 20,000-50,000 บาท แล้วแต่ข้อตกลง เมื่อส่งข้ามแดนประเทศไทยมาแล้วก็ถือว่าหมดหน้าที่ แต่ปัจจุบันขบวนการรับจ้างนำชาวโรฮิงญา ไปยังประเทศที่ 3 มีความแยบยลมากยิ่งขึ้น ซึ่งใช้วิธีการ “เข้าฮอส” แบบกินสองต่อ คือการรับจ้างนำชาวโรฮิงญาหลบหนีออกจากประเทศพม่าแล้ว ยังทำการกักขังควบคุมตัวเอาไว้ในสถานที่ตามแนวชายแดน เพื่อขายชาวโรฮิงญาให้กับผู้ต้องการแรงงานในประเทศเพื่อนบ้าน ในราคาหัวละ 30,000–50,000 บาท ซึ่งมีนายทุนทั้งภาคการเกษตรและการประมง ที่ต้องการแรงงานเหล่านี้ไว้ใช้งาน เพราะค่าแรงถูก นายทุนสามารถกดขี่ได้ตามชอบใจ ดังนั้นชาวโรฮิงญาเหล่านี้จึงตกอยู่ในสภาพหนีเสือปะจระเข้ ถูกทารุณกรรมสารพัด[2]
นับวันปัญหาการค้ามนุษย์ที่ปรากฏใน ชายแดนใต้ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นโดยที่ไทยไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้เลย อาจเป็นเพราะการที่ไทยมองข้ามความสำคัญในด้านสิทธิมนุษยชน อันก่อให้เกิดการลิดรอนสิทธิทั้งกับ พลเมืองของรัฐ จนไปถึงผู้ที่มิใช่พลเมืองซึ่งย่อถูกกระทำอย่างแสนสาหัสยิ่งกว่า ถือได้ว่าไทยได้ปล่อยปะละเลยให้มีการละเมิด ทั้งปฎิญญาสากล และละเมิดต่อ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 32ที่วางหลักไว้ว่า
[1] ไพจิตร ปุญญพันธ์.ลักษณะละเมิด.กรุงเทพฯ:คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.มปท.
[2] www.dailynews.co.th/Content/regional/174579/เจาะลึก“Bโรฮิงญา”เหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ตายทั้งเป็น!!ถูกขูดรีด-กักขัง
[3] http://www.livinginthailand.com/cons-03-3.html
ไม่มีความเห็น