การที่มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคม จะเกิดเป็นปัญหาต่างๆขัดแย้งกันมากมาย ทำให้บุคคลในสังคมต่างก็ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน จากผู้ที่กำลัแข็งแรงกว่า ดังนั้นจึงต้องมีเครื่องมือเพื่อคุ้มครอง สิทธิมนุษยชนได้อย่างเป็นรูปธรรม คือ กฏหมาย แต่อย่างไรก็ดี บทบัญญัติบางอย่างของกฏหมายมีลักษณะทีขัดต่อสิทธิมนุษยชน เป็นผลทำให้สิทธิมนุษยชนที่ควรจะได้รับการคุ้มครองกลับยิ่งลดน้อยถอยลงไปอีก
ซึ่งสิทธิมนุษยชน เป็นสิ่งที่ติตัวมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด โดยไม่คำนึงถึง เพศ สัญชาติ เชื้อชาติ หรือ แหล่งที่มาฐานะใดๆ ดังนั้นเมื่อ มนุษย์มีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่อาศัย ได้รับการปกปอง เลี้ยงดู จากผู้ปกครองจากรัฐ หากมนุษย์ไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ก็ทำการฆ่าตัวตายเสีย แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าหากมนุษย์ผู้นั้นไม่สามารถทำการฆ่าตัวตายได้อันเกิดจากการ เจ็บป่วย หรือ ไม่มีความสามารถ บุคคลนั้นมีสิทธิยินยอมให้บุคคลอื่นทำการฆ่าตนเองหรือที่เรียกว่าการุณยฆาต Mercy killing หรือไม่?? ซึ่งกฏหมายไทยไม่ยอมรับการกระทำเช่นว่านี้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ของผู้ที่ต้องการฆ่าตัวตายหรือไม่
การุณยฆาต [1]หมายถึง การกระทํา หรืองดเว้นการกระทำอยางหนึ่งอยางใด เพื่อใหบุคคลที่ตกอยู่ในสภาวะน่าเวทนา เดือดรอนแสนสาหัส เนื่องจากสภาวะทางรางกาย หรือจิตใจไมปกติ ขาดการรับรูเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ทําการรักษาใหหายไมได ดำรงชีวิตอยู่ต่อไป ก็มีแต่จะสิ้นสภาพความเป็นมนุษย์ การจบชีวิตลงทำขึ้นเพื่อใหพนจากความทุกขทรมาน รักษาศักดิ์ศรีความเปนมนุษย และจํากัดความสูญเปลาทางเศรษฐกิจ สรุปอยางงายคือ การทําให้ผู้ป่วยตายดวยเจตนาที่แฝงดวยเจตนาดี ทําลงไปดวยความกรุณา เพื่อใหผูป่วยพ้นจากความทุกขทรมาน
การุณยฆาต มีอยูสองประเภทคือ
1. การช่วยใหผูปวยที่สิ้นหวังตายอยางสงบ (active euthanasia) คือ การที่แพทยฉีดยา ใหยา หรือกระทําโดยวิธีอื่นๆ ใหผูปวยตายโดยตรง การยุติการใช้เครื่องชวยหายใจ ก็จัดอยูในประเภทนี้ดวย การกระทำการุณยฆาตเช่นนี้เรียกอีกแบบหนึ่งว่า Mercy Killing ตัวอย่างของประเทศที่สามารถใช้วิธินี้ได้คือประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เดนมาร์ก ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส สิงคโปร์
2. การปลอยใหผูปวยที่สิ้นหวังตายอยางสงบ (passive euthanasia) คือ การที่แพทย์ไมสั่งการรักษา หรือยกเลิกการรักษาที่จะยืดชีวิตผู้ปวยที่สิ้นหวัง แต่ยังคงให้การดูแลรักษาทั่วไป เพื่อช่วยลดความทุกข์ทรมานของผูป่วยลง จนกวาจะเสียชีวิตไปเอง
เมื่อพิจารณาจากพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ[2]มาตรา12 บัญญัติไว้ว่า
บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติความทรมานจากการเจ็บป่วยได้
การดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้วมิให้ถือว่าการนั้นเป็นความผิดแล้วพ้นจากความผิดทั้งปวง
มาตรา 3 บัญญัติว่า ในพระราชบัญญัตินี้
“บริการสาธารณสุข” หมายความว่า บริการต่างๆอันเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพการป้องกันและควบคุมโรคและปัจจัยที่คุกคามสุขภาพ การตรวจวินิจฉัยและบำบัดสภาวะความเจ็บป่วย และการฟื้นฟูสมรรถภาพของบุคคล รอบครัวและชุมชน
“ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุข”หมายความว่า ผู้ประกอบวิชาชีพตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล
หากพิจารณามาตรา12และมาตรา 3จะเห็นได้ว่าประเทศไทยได้ยอมรับการทำการุณยฆาตโดยการตัดการรักษา (Passive Euthanasia) ซึ่งหมายความว่าผู้ป่วยนั้นมีสิทธิที่จะเลือกว่าตนต้องการที่จะได้รับการบริการสาธารณสุขที่ยืดชีวิตของตนหรือไม่ เช่น ประสงค์จะไม่ให้ใช้เครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น แต่ประเทศไทยไม่ยอมรับการทำการุณยฆาตโดยการเร่งให้ตาย (Active Euthanasia) ดังนั้น ถ้าผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์คนหนึ่งหมดหวังกับชีวิตและได้รับความทุกข์ทรมานจากการเป็นโรคนั้น จะร้องขอให้แพทย์ผู้รักษาฉีดยาให้ตนตายและจากไปอย่างสงบไม่ได้ และถ้าแพทย์ผู้นั้นได้กระทำลงแพทย์ผู้นั้นย่อมได้รับโทษทางอาญา [3]
ดังนั้น ผู้เขียนจึงมีความเห็นว่า เมือประเทศไทยได้ยอมรับการกระทำการุณยฆาต (Mercy Killing)โดยการตัดการรักษาเพียงอย่างเดียวนั้น เป็นการกระทำที่ขัดต่อสิทธิมนุษยชน เนื่องจากเหตุที่มนุษย์ผู้นนั้นไม่ต้องการที่จะมีชีวิตต่อนั้นเกิดจากความทรมานอย่างแสนสาหัต ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะรักษาให้หายเป็นปรกติได้ การที่ตนไม่ประสงค์ที่จะมีชีวิตต่อไปจึงควรเป็นทางเลือกของบุคคลนั้น การที่กำหนดโทษทางอาญากับ บุคคลที่จะกระทำการการุณยฆาต จึงเป็นการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนของผู้ป่วย หรือ ผู้บาดเจ็บ ถึงแม้ไม่ได้บัญญัติเป็นโทษแก ผู้ที่ไม่ประสงค์ที่จะมีชีวิตอยู่็ตาม
[1] การุณยฆาต คือ http://meded.kku.ac.th/medednew/b_a_l/08_08_50_2.p...
[2] พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ http://www.moph.go.th/hot/national_health_50.pdf
[3] http://www.l3nr.org/posts/257523
ไม่มีความเห็น